หน้าเว็บ



วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Learning About Adobe Premiere Pro 1.5

1. Starting a new project


เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา  Adobe Premiere จะให้คุณเลือก  ว่าจะเปิด project ใหม่ หรือ
เปิดงานเดิมที่เคยทำไว้  ดังรูป   1. New Project    2. Open Project

2. setup New Project  
คุณสามารถปรับค่าขนาดของโปรเจ็คได้ตามความต้องการ 1. คือ การเลือก ประเภทของวีดีโอ 2. คือ การปรับขนาด frame size 3. คือ การปรับขนาด Pixel Aspect Ratio 4. การปรับความเร็วของ เฟรม ค่ามาตฐานของ VCD คือ 25 fps มาตฐานของ DVD คือ 29 fps 5.การปรับ ค่า Audio 6. เพื่อเลือกเสร็จแล้วให้ตั้งชื่อ Project  และ save file



หลังจากนั้นให้ค่าขนาดของโปรเจ็คได้ตามความต้องการพร้อมกำหนดสถานที่ในการจัดเก็บงาน     ดังในรูป หมายเลข  1 คือ การเลือกรูปแบบของมาตฐานวิดีโอ . หมายเลข  2  คือ การเลือกสถานที่จัดเก็บงาน  หมายเลข  3  คือ การตั้งชื่อ ไฟล์ เพื่อจัดเก็บ


Main  Window  About Adobe Premiere Pro 1.5

เมื่อตั้งชื่อ โปรเจ็กแล้ว OK สักครูจะขึ้นวินโดว์ที่เป็นหน้าต่างงานดังภาพซ้ายมือ ที่เราพอที่จะแบ่งออกได้อีก 4 ส่วนหลัก ๆ คือ
1)  main manu         
2) ส่วนที่เป็นหน้าต่างของโปรเจ็ก
3)ส่วนที่แสดงภาพให้เห็นเรียกหน้าต่างมอนิเตอร์ Monitor
4) ส่วนที่แสดง Timeline เรียกหน้าต่างทามไลน์  
5 )Tool Option
6)ส่วนที่เป็นข้อมูลการทำงานต่าง ๆ เรียกหน้าต่าง History เดี๋ยวทำไปด้วยจะทำความรู้จักมันไปด้วย
 
 
 
 
การ Inport  File
Video formats    ที่ใช้งานได้   AVI, MOV, MPEG/MPE/MPG, DML, and WMV
Audio formats:  ที่ใช้งานได้AIFF, AVI, MOV, MP3, WAV, WMA

 
 
 
A) File - Import....(คลิก) เพื่อที่จะไปเอาภาพที่เตรียมไว้เข้ามาทำงาน
 
 
 
 
1) จากที่เรา อิมพอร์ทไฟล์ภาพเข้ามา ภาพจะมาลงที่หน้าต่าง โปรเจ็ก   จะเรียงกันอยู่ในลักษณะใดนั้นอยู่ที่เราจะตั้งค่ามัน ดังภาพวินโดว์โปรเจ็กด้านล่างขวามื
2) ลากลงไปวางไว้ที่ TimeLine ในช่อง Video 1 (คลิกเม้าท์ที่ชื่อไฟล์ค้างไว้แล้วลากลงไปวางในตำแหน่งชนขอบด้านหน้าสุด)





Timeline  มีองค์ประกอบดังนี้
a =  เป็นช่องทำงานสำหรับวีดีโอ สามารถเพิ่มช่องทำงานได้
b = เป็นช่องสำหรับโชว์ key frames
c = ทำหน้าที่ในการซ่อนและแสดงเมนู
d = ทำหน้าที่ในการเปิด – ปิด การดู  ภาพวีดีโอ
e = เป็นช่องทำงานของ เสียง มีไว้สำหรับปรับค่าเสียงต่างๆ
f = มีหน้าที่ในการปรับระดับเสียง

Locking and unlocking tracks


ในการทำงานเราสามารถ  ล๊อกการทำงาน ของ  tracks vdo  และ  audio  ได้  โดยคลิ๊กที่ ไอคอน  ใน track ที่ต้องการ

Moving around in the Timeline window


Time navigation controls    ประกอบด้วย
A. Current-time indicator  เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ เราทำงานว่าถึงนาทีเท่าไร
B. Viewing area bar   เป็นส่วนที่แสดงขอบเขตในการทำงานของ track
C. Work area bar       เป็นส่วนที่ระบุช่วงในการแสดงผล 
D. Time ruler            เป็นส่วนวัดของช่วงเวลาในการทำงาน
E. Zoom out             มีหน้าที่ในการขยายเฟรม
F. Zoom slider            มีหน้าที่ในการเลื่อน ลด และขยาย เฟรม 
G. Zoom in                มีหน้าที่ในการลดเฟรม

การตัดต่อภาพและเสียง

การตัดต่อภาพและเสียง
การตัดต่อภาพและเสียงมีหลักการเดียวกันกับการสร้างภาพเคลื่อนไหวหรือแอนิเมชั่นที่เอาภาพนิ่งมาเรียงต่อเนื่องกัน นั่นหมายความว่า ในการสร้างหนัง 1 เรื่อง ก็เป็นการนำคลิปภาพยนตร์สั้นๆมาเรียงต่อๆกัน ในขณะเดียวกันก็นำคลิปเสียงมาเรียงต่อๆกันและเล่นไปพร้อมๆกันโดยซ้อนกันอยู่เหมือนทางคู่ขนาน  เข้าใจไหมครับ เหมือนรถ 2 คัน ออกสตาร์ทและวิ่งไปพร้อมกัน จูงมือกันไป ด้วยความเร็วเท่ากันเป๊ะ ดังนั้นเมื่อเราดูภาพเคลื่อนไหว เราก็จะได้ยินเสียงไปด้วยพร้อมๆกันนั่นเอง และนี้ละที่เป็นที่มาของการตัดต่อภาพและเสียง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถสนองความต้องการของเราได้นั้นมีมากมาย แต่สำหรับผมขอสาธิตการใช้งานโปรแกรม Adobe Premiere Pro ครับ โดยมีขั้นตอน ดังนี้

1.เปิดโปรแกรม Adobe Premiere Pro

2. สร้างโปรเจคใหม่ คลิก >New Project>เลือก DV –PAL>Standard 48kHz>คลิก ok>เลือกที่เก็บโปรเจค>ตั้งชื่อโปรเจค>คลิก ok แล้วจะได้หน้าตาแบบนี้

009-02.jpg

3. หน้าตาจะคล้ายกันกับ After Effects คือมีที่เก็บต้นฉบับ (ที่เก็บคลิปทั้งภาพและเสียง) มีจอแสดงผล แต่ใน Premiere Pro มีจอสำหรับทำ effect ด้วยซึ่งใช้งานเหมือน After Effects แต่ที่ต่างออกไป คือที่ Time Line มี 2 ส่วนคือ ส่วนบนเป็นที่วางคลิปวีดิโอ และส่วนล่างซึ่งก็มีจุดเริ่มต้นเดียวกัน สำหรับวางคลิปเสียง ให้เล่นไปพร้อมกันนั่นเอง

4. ทดลองทำงานโดยการ Import คลิปที่เราทำกันมาใส่ไว้ในโปรเจคด้วยการคลิก File>Import

5. คลิปวีดิโอและเสียงที่เรา Import จะมาปรากฏอยู่ที่ๆเก็บคลิป ให้แดรกคลิปวีดิโอที่เราต้องการให้แสดงก่อนลงมาก่อนแล้วก็แดรกคลิปวีดิโออื่นๆตามลงมา ในส่วนของเสียงก็แดรกลงมาเช่นเดียวกัน ลงมาอยู่ที่แทรกของเสียง

009-05.gif

6. หลังจากนั้นก็จะเป็นการหรี่เสียง และภาพ (Fade) เพื่อให้รอยเชื่อมต่อระหว่างคลิปดูนุ่มนวล โดยการคลิกที่ปุ่มสามเหลี่ยมที่ Time Line แล้วเลือก Show Opacity Handle สำหรับวีดิโอ และเลือก Show Clip Volume สำหรับเสียง

009-06.gif

7. ทำการพล็อตจุดลงบนเส้น

009-07.gif

8. ลากจุดที่อยู่ริมทั้งสองฝั่งลงล่างสุด

009-08.gif

9. ทดลองเล่นดูผลงาน

009-09.gif

10. สุดท้ายก็เป็นการ Export ผลงานออกเป็น ภาพยนตร์ 1 เรื่องในรูปแบบ AVI โดยคลิก
File>Export>Movie>ตั้งชื่อ>Save แล้วเราก็จะได้หนัง animation 1 เรื่องจนได้ในที่สุด ดีใจด้วยนะครับ

การตัดต่อภาพยนต์ด้วยโปรแกรมAdobe Premiere Pro CS3

หลังจากExportไฟล์ภาพเคลื่อนไหวจากโปรแกรมToon Boom Studio ออกมาเป็นไฟล์AVIแล้ว ก็ทำการImportไฟล์AVIเหล่านั้นลงมาในโปรแกรม Premiere Pro CS3 และนำมาจัดเรียงตามบทภาพ (Story Board) ตัดต่อให้มีจังหวะเหมาะสม ทำการใส่เสียงบรรยากาศ(Sound Effect) และเสียงดนตรีประกอบ(Music)
1. เมื่อเปิดโปรแกรมแล้ว เลือกที่File>Import


4.25 ภาพแสดงขั้นตอนการใช้ Premiere Pro ภาพที่1

2. เลือกไฟล์ภาพเคลื่อนไหวที่ต้องการทำมาตัดต่อ เลือกOpen


4.26 ภาพแสดงขั้นตอนการใช้ Premiere Pro ภาพที่2

3. ไฟล์ภาพเคลื่อนไหวจะเข้ามาอยู่ในช่องทางซ้าย ทำการลากไฟล์มาวางในTime line และทำการตัดต่อ

4.27 ภาพแสดงขั้นตอนการใช้ Premiere Pro ภาพที่3

กกกกกกกก3.1. การตัดต่อภาพและเสียง

กกกกกกกกในภาพยนตร์อนิเมชั่นเสียงมีความสำคัญมากเพราะเสียงสามารถสร้างบรรยากาศให้กับภาพได้ ดนตรีประกอบสร้างอารมณ์ความรู้สึกของคนดูให้เชื่อมโยงกับตัวละครและเรื่องราวของหนัง ดังนั้นการตัดต่อภาพและการตัดต่อเสียงจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกัน มีความสำคัญเท่าๆกัน ในภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้ มีการตัดต่อภาพและเสียงด้วยการจัดเรียงไฟล์ภาพเคลื่อนไหวก่อนลงเสียง และทำการตัดต่อให้มีจังหวะที่ลงตัว


4.28 ภาพแสดงขั้นตอนการตัดต่อ

กกกกกกกก3.2. การExportFile

กกกกกกกกเมื่อทำการตัดต่อจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็ทำการExport Fileออกมา โดยการเลือก File>Export>Export to Encore โปรแกรมAdobe Encore จะเขียนไฟล์ของเราออกมาเป็นDVD


4.29 ภาพแสดงขั้นตอนการ Export File ด้วย Premiere Pro

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

Social Network

Social Network

10 อันดับ Social Network สุดฮิต

10 อันดับ Social Network สุดฮิต

1. MySpace.com
2. FaceBook.com
3. Orkut.com
4. Hi5.com
5. Vkontakte.ru
6. Friendster.com
7. SkyRock.com
8. PerfSpot.com
9. Bebo.com
10. Studivz.net

รูป social network

Social Network

Social Network คือ สังคมออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณหาเพื่อนบนโลกอินเตอร์เนทได้ง่ายๆ เราสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา เพื่อแนะนำตัวเองได้ เช่น
  • Hi5
  • Friendster
  • My Space
  • Face Book
  • Orkut
  • Bebo
  • Tagged
เว็บ SNS (Social Network Site) เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเว็บที่สร้างขึ้นมาเพื่อการตอบสนองความต้องการในการติดต่อธุรกิจหรือหาเพื่อนบนโลกไซเบอร์ทั้งสิ้น

Hi5 (www.hi5.com)
เว็บ Hi5 เป็นเว็บที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีผู้ใช้บริการกว่า 7 แสนคน
สำหรับหลายคนที่รู้จักและใช้บริการอยู่คงจะไม่ต้องอธิบายกันมาก เพราะคงรู้จุดประสงค์และการใช้งานดีอยู่แล้ว แต่หลายๆคนยังไม่ทราบว่าเจ้า hi5 นี่ใช้งานยังไง มีทำไม และเพื่อประโยชน์อะไร

Hi5.com เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้บริการมาฝาก profile ของตัวเอง คล้ายๆกับ blog เนี่ยแหละ แต่ว่าคนไม่ค่อยไปเขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในนั้นซะเท่าไหร่ จะเน้นที่ตกแต่งหน้าตา profile เราให้สวยงาม ดึงดูดคนมาเข้า แต่จุดเด่นของมันอยู่ที่ ระบบ network ที่เรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ หรือบังเอิญเจอเพื่อนเก่าสมัยมัธยมเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือเพื่อนของเพื่อน กิ้กเก่า แฟนเก่า .. แต่อีกหลายคนก็สมัครไปงั้นๆไม่ได้อะไรมากเพราะได้รับอีเมลชวนมาเล่น hi5 จากเพื่อน ...
ข้อดี1. มีโอกาสได้เพื่อนใหม่ๆและ keep connect กับเพื่อนเก่าๆ ที่บางคนอาจจะเลือนหายไปกับความทรงจำ (แต่พอส่ง msg คุยกันก็ไม่รู้จะคุยไร เพราะมันห่างกันมานาน)
2. การเก็บรักษาความส่วนตัว ก็ใช้ได้ระดับหนึ่ง คือ ยังไงๆถ้าเราไม่บอก ไม่ว่าใครก็ไม่รู้อีเมลเรา แต่ถ้าอยากให้รู้ก็เขียนบอกไปเลยก็ได้ หรืออยากรู้ msn ใครก็แมสเสจไปหาเขาตรงๆ
3. วิธีการสมัครง่าย และวิธีการทำ hi5 ให้สวยงามก็ง่าย
4. ข้อดีก็เหมือน blog ทั่วไปๆแหละเพียงแต่คนเล่นนิยม เพราะมันดูทันสมัยและใช้งานง่าย

ข้อเสีย1. มีการพัฒนาเวบ อาจจะล่มบางครั้ง
2. ใส่ลูกเล่นหรือปรับแต่งอะไรได้ไม่ค่อยเยอะ มันจะมี pattern อยู่แล้ว ก็จะปรับได้ส่วนของแบคกราวน์ สี font ตัวอักษร ใส่เพลง vdoclip ....
3. ไม่มีประโยชน์เท่าบล้อก เพราะคนเข้ามาดูรูปส่วนใหญ่

Friendster (www.friendster.com)

Friendster
ได้ก้าวขึ้นมาสู่หัวแถวของ Social Network ในประมาณเดือนเมษายน ปี 2004 ก่อนจะถูกไล่แซงโดย My Space ในเรื่องของผู้เข้าชมและจากการจัดอันดับของ Nielsen//NetRatings Frienster ได้รับการยอมรับว่าเป็นคู่แข่งของทั้ง Windows Live Spaces, Yahoo! 360, และ Facebook ในเวลาต่อมาก็ยังมี Hi5 ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งสำคัญอีกด้วย
Google เคยยื่นข้อเสนอขอซื้อ Friendster ในมูลค่า 30,000,000 $ แต่ถูกปฏิเสธ เพราะทาง Friendster ตัดสินใจว่าต้องการเป็นของส่วนตัวมากกว่าที่จะยื่นขายให้กับ Google
หลายท่านที่มีประสบการณ์การใช้งานคงจำได้นะครับ จู่ๆ เราก็ได้รับอีเมล์จากเพื่อนของเราบอกว่าเข้าไปสมัครบริการนี้สิ เราก็เข้าไป ลงทะเบียน ใส่ข้อมูลส่วนตัว เสร็จแล้วเราก็พบว่า เรามี “เพื่อน” อยู่ในระบบทันที 1 คน (คือคนที่ชวนเรามานั่นเอง) หลังจากนั้นก็เราก็ชักคิดถึงเพื่อนคนอื่นๆ ก็ค้นหาจากระบบดูว่ามีเพื่อนเราคงไหนอีกไหมที่ใช้เว็บนี้เหมือนๆ กัน ก็ไปชวนเข้ามาอยู่ในกลุ่มเพื่อนเรา ใครที่ไม่อยู่ เราก็ส่งอีเมล์ไปชวนให้มาเข้าระบบเสีย หลังจากนั้นเราก็อาจเริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ๆ จากในระบบนี้เอง … คงเป็นเพราะมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมกระมังครับ เราถึงเสียเวลานั่งทำอะไรอย่างที่ว่าได้อย่างเพลิดเพลิน
และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม Friendster.com ถึงมีผู้ใช้งานกว่า 7 ล้านคนภายในปีเดียว
      
My Space (www.myspace.com)
My Space คือ เว็บบล็อก ที่ทาง msn ให้ผู้ที่ใช้ msn ได้เข้าไปใช้บริการกัน ก็มีคำถามต่ออีกว่า เจ้า webblog คืออะไร สำหรับ เจ้า Web Blog ผมอยากให้เรานึกง่ายๆ ว่ามัน คล้าย ไดอะรี่ แต่ไม่ใช่นะครับ ย้ำ ว่า บล็อก ไม่ใช่ ไดอะรี่ โดยบล็อกจะมีความหลากหลายมากกว่า เพราะในบล็อก ผู้ที่เป็นเจ้าของเนื้อที่นั้น จะเป็นผู้ที่ดูแลเนื้อหา ว่า จะให้เป็นแนวไหน หรือว่าจะเป็นเนื้อเรื่องอะไร ส่วนหลายคนเอามาเป็น ไดอะรี่ นั้น ผิดไหม คงไม่ผิด คือมันแล้วแต่ว่า ผู้ดูแลจะเป็นอย่างไร

ข้อดี 1. มีลูกเล่นค่อยข้างมากกว่าที่อื่นไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Layout, Music ,Photo เป็นต้น รวมทั้ง
2. มีการแสดงให้เห็นใน Contact list ของ MSN อีกด้วย (เป็นรูปดาวๆหน้าชื่อนั่นล่ะครับ )
3. สามารถกำหนดสิทธิคนที่จะเข้าดูได้หลายระดับ

ข้อเสีย1. เปิดดูได้ช้ามาก ยิ่งเน็ต 56K คงแทบหมดสิทธิ หากบล็อกมีลูกเล่นเยอะ
1.ยังไม่สามารถใส่พวก script แบบไดอารี่ หรือ บล็อกในหลายๆ ที่ได้ (อันนี้ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่สำหรับผม)
3. การเลือกจำนวนของ Entry หรือบทความที่จะแสดงในหน้าแรกของบล้อก ได้ต่ำสุดที่ 5 ดังนั้นใครที่นิยมเขียนอะไรยาวๆ ทำใจได้เลยครับว่า หน้าแรกของบล็อก คุณจะยาวสุดกู่เลยล่ะครับ สุดท้ายคือ
4. ความสามารถ ในส่วนของการกำหนดขนาดตัวอักษร ซึ่งผม ยังหาไม่เจอว่า มีการให้ใส่หรือ เลือกขนาดตัวอักษรสำหรับบทความได้ในจุดไหน ซึ่งอันนี้ผมคิดว่ามีความสำคัญทีเดียว การเล่นตัวอักษร เล็กใหญ่ มันช่วยเน้นข้อความและทำให้อ่านได้ง่ายขึ้น สรุปใจความได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องอ่านทั้งหมด ก็ได้ซึ่ง การเล่นสีและตัวหนา เพียงอย่างเดียว มันยังไม่มากพอครับ
         
มายสเปซ (MySpace) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของเครือข่ายชุมชน ชื่อดังเว็บหนึ่ง ให้บริการทำเว็บส่วนตัว บล็อก การเก็บ ภาพ วิดีโอ ดนตรี และเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มคนอื่น มายสเปซมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ เบเวอร์ลีย์ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
มายสเปซก่อตั้งเมื่อ สิงหาคม พ.ศ. 2546 โดย ทอม แอนเดอร์สัน และ คริสโตเฟอร์ เดอโวล์ฟ ในปัจจุบัน มายสเปซมีพนักงานกว่า 300 คน และในตัวเว็บไซต์มีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 100 ล้านคน และมีผู้ลงทะเบียนใหม่ประมาณ 200,000 คนต่อวัน

Face Book  (www.facebook.com)
Mark Zuckerberg ก่อตั้ง Facebook เว็บชุมชนออนไลน์ (Social-Networking Site) ที่กำลังได้รับความนิยมสุดขีดในขณะนี้ เมื่อ 3 ปีก่อน ขณะยังเรียนอยู่ที่ Harvard ก่อนจะลาออกกลางคัน เจริญรอยตาม Bill Gates แห่ง Microsoft เพื่อเป็น CEO ของเว็บชุมชนออนไลน์ที่เขาก่อตั้งขึ้น ด้วยวัยเพียง 22 ปี

ภายในเวลาเพียง 3 ปี เว็บที่เริ่มต้นจากการเป็นเว็บชุมชนออนไลน์สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย กลายเป็นเว็บที่มีผู้ใช้ที่ลงทะเบียน 19 ล้านคน ซึ่งรวมถึงข้าราชการในหน่วยงานรัฐบาล และพนักงานบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ เข้าเว็บนี้เป็นประจำทุกวัน และขณะนี้กลายเป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 6 ในสหรัฐ 1% ของเวลาทั้งหมดที่ใช้บน Internet ถูกใช้ในเว็บ Facebook

นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับเป็นเว็บที่ผู้ใช้ Upload รูปขึ้นไปเก็บไว้มากเป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ โดยมีจำนวนรูปที่ถูก Upload ขึ้นไปบนเว็บ 6 ล้านรูปต่อวัน และกำลังเริ่มจะเป็นคู่แข่งกับ Google และเว็บยักษ์ใหญ่อื่นๆ ในการดึงดูดวิศวกรรุ่นใหม่ใน Silicon Valley นักวิเคราะห์คาดว่า Facebook จะทำรายได้ 100 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

Zuckerberg เพิ่งปฏิเสธข้อเสนอซื้อของ Yahoo ซึ่งเสนอซื้อ Facebook ด้วยเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือว่า Viacom เสนอซื้อ Facebook ด้วยเงิน 750 ล้านดอลลาร์ คำถามคือ การตัดสินใจของ Zuckerberg ครั้งนี้ ถูกต้องหรือไม่ ในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา มีเว็บยุคใหม่ที่เรียกว่า Web 2.0 ที่โด่งดัง 2 แห่ง ที่เพิ่งถูกขายให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ นั่นคือ MySpace ที่ถูก News Corp ซื้อไปด้วยเงิน 580 ล้านดอลลาร์ และ YouTube ที่ยอมรับเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์จาก Google

ขณะที่ในอดีตเว็บ Friendster เว็บชุมชนออนไลน์ที่โด่งดังเป็นเว็บแรก เคยปฏิเสธการเสนอซื้อด้วยเงิน 30 ล้านดอลลาร์จาก Google ในปี 2002 ซึ่งหากจ่ายเป็นหุ้น ป่านนี้คงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น Friendster ซึ่งเป็นเว็บรุ่นเก่า ก็ถูกบดบังรัศมีโดยเว็บรุ่นใหม่ๆ

Facebook จะประสบชะตากรรมอย่างเดียวกับ Friendster หรือไม่ ในขณะที่เว็บชุมชนออนไลน์ใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน

Zuckerberg ยอมรับว่าเขาเป็น Hacker แต่ไม่ใช่ในความหมายของนักเจาะระบบ Hacker ของเขาหมายถึงการนำความพยายามและความรู้ที่ทุกคนมีมารวมกัน แบ่งปันกัน เพื่อบรรลุสิ่งที่ดีกว่า เร็วกว่าหรือใหญ่กว่า ซึ่งคนๆ เดียวทำไม่ได้ โดยให้ความสำคัญกับการเปิดกว้าง การแบ่งปันข้อมูล เขาสร้างสิ่งที่เรียกว่า Hackathon ใน Facebook ซึ่งคล้ายกับการระดมสมองสำหรับวิศวกร

อย่างไรก็ตาม Facebook กลับมีกำเนิดมาจากการเจาะระบบจริงๆ เมื่อ Zuckerberg เรียนอยู่ที่ Harvard เขาพบว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีหนังสือรุ่นที่เรียกว่า Face Book ซึ่งจะเก็บรายชื่อนักศึกษาพร้อมรูปและข้อมูลพื้นฐาน เหมือนอย่างมหาวิทยาลัยทั่วไป Zuckerberg ต้องการจะทำหนังสือรุ่นออนไลน์ของ Harvard แต่ Harvard กลับปฏิเสธว่า ไม่สามารถจะรวบรวมข้อมูลได้

Zuckerberg จึงเจาะเข้าไปในระบบทะเบียนประวัตินักศึกษาของ Harvard และทำเว็บไซต์ชื่อ Facemash ซึ่งจะสุ่มเลือกรูปของนักศึกษา 2 คนขึ้นมา และเชิญให้ผู้เข้ามาในเว็บเลือกว่า ใคร “ฮอต” กว่ากัน

ภายในเวลาเพียง 4 ชั่วโมง มีนักศึกษาเข้าไปในเว็บของ Zuckerberg 450 คน และมีสถิติการชมภาพ 22,000 ครั้ง ทำให้ Harvard ห้าม Zuckerberg ใช้ Internet และเรียกตัวไปตำหนิ เหตุการณ์จบลงโดย Zuckerberg กล่าวขอโทษเพื่อนนักศึกษา แต่เขายังคงเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง

ต่อมา Zuckerberg จัดทำแบบฟอร์ม Facebook เพื่อให้นักศึกษาเข้ามาเขียนข้อมูลของตนเอง Thefacebook.com ซึ่งเป็นชื่อเริ่มแรกของ Facebook เปิดตัวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ นักศึกษาครึ่งหนึ่งของ Harvard ลงทะเบียนในเว็บแห่งนี้ และเพิ่มเป็น 2 ใน 3 ของนักศึกษา Harvard ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นเริ่มติดต่อ Zuckerberg ขอให้ทำหนังสือรุ่นออนไลน์ให้แก่มหาวิทยาลัยของพวกเขาบ้าง จึงเกิดพื้นที่ใหม่ใน Facebook สำหรับ Stanford และ Yale ภายในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน โรงเรียนอีก 30 แห่งเข้าร่วมใน Facebook ตามมาด้วยโฆษณาที่เกี่ยวกับนักเรียนนักศึกษา และธุรกิจที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ทำให้เว็บชุมชนแห่งนี้ เริ่มสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์

ขณะนี้ Facebook กำลังจะเพิ่มจำนวนวิศวกรจาก 50 คนอีกเท่าตัวภายในปีนี้ และเพิ่มจำนวนพนักงานบริการลูกค้าซึ่งมีอยู่ 50 คน เพราะจำนวนผู้ใช้รายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น 100,000 คนต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลาดมหาวิทยาลัยในแคนาดาและอังกฤษของ Facebook เติบโตเกือบ 30% ต่อเดือน (มีข่าวว่า เจ้าชาย Harry แห่งอังกฤษและเพื่อนสาวคนสนิทก็เป็นผู้ใช้ Facebook ด้วย) และ 28% ของผู้ใช้ Facebook ทั้งหมด อยู่นอกสหรัฐฯ นอกจากนี้ อายุของผู้ใช้ Facebook เริ่มหลากหลายมากขึ้น ผู้ใช้อายุ 25-34 ปีมี 3 ล้านคน อายุ 35-44 ปีมี 380,000 คน และอายุเกิน 64 ปีมี 100,000 คน

3 ปีก่อน Zuckerberg มาถึง Palo Alto ด้วยมือเปล่า และยังเป็นนักศึกษาของ Harvard แต่ขณะนี้เขาเป็นผู้บริหารเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์ที่กำลังฮอตที่สุด และเพิ่งได้รับเชิญไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมผู้นำการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่เมือง Davos สวิตเซอร์แลนด์ในปีนี้ รวมทั้งเพิ่งปฏิเสธข้อเสนอซื้อมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์อย่างไม่ใยดี

Orkut  (www.orkut.com)
เว็บไซต์หาเพื่อนสำหรับกลุ่มนักท่องเว็บขี้เหงานั้นครองความนิยมมายาวนาน จนเกิดเว็บไซต์ใหม่ขึ้นมามากมาย แม้เต่เจ้าพ่อเสิร์จเอนจินอย่างกูเกิล (Google) เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ก้าวเท้าเดินตามรอยเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Friendster เพื่อเข้าสู่วงการ social networking ด้วยการเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาโดยให้ทีมวิศวกรของกูเกิลทำเป็นโปรเจคของตัวเอง กูเกิลใช้กลยุทธโปรเจคส่วนตัวนี้เพื่อสร้างเว็บไซต์ใหม่ๆขึ้นมาได้อย่างชาญฉลาด โดยเว็บไซต์นี้ใช้ชื่อว่า Orkut.com เพื่อใช้เป็นเว็บไซต์เชื่อมต่อระหว่างเพื่อนถึงเพื่อน ให้คุณสามารถสร้างความสนิทสนมได้บนความสะดวกสบาย
      
การเป็น social networking นั้นอาจจะเรียกได้ว่า เป็นเน็ตเวิร์กกระชับมิตร เพราะด้วยความที่ให้บริการเป็นชุมชนออนไลน์ ยูสเซอร์อาจจะใช้เครือข่ายนี้เป็นตัวเชื่อมต่อเพื่อพูดคุยกับเพื่อนฝูง หรืออาจจะหาเพื่อนใหม่เพื่อนัดเดท ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเว็บไซต์หาเพื่อน ที่เคยฮอตฮิตในเมืองไทยบ้านเราอยู่พักใหญ่ เว็บไซต์ที่เข้าข่าย social networking นี้ จะเปิดให้ยูสเซอร์ตั้งชื่อ และเลือกชุมชนที่ต้องการ โดยจะสามารถโต้ตอบกับผู้คนที่อยู่บนเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย แต่ในบางประเทศก็มีการนำเอา social networking นี้มาใช้ในการพัฒนาชุมชน โดยใช้เครือข่ายเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อประชาชนในชุมชนกับกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้ประชาชนในชุมชน สามารถถ่ายทอดปัญหาและความต้องการได้โดยตรง จุดนี้เป็นประโยชน์อย่างมากในด้านการแสดงความคิดเห็น การเฝ้าระวังข้อมูล การมีส่วนร่วม การสะท้อนมุมมอง และการระดมทุน
      
ในงานแถลงข่าว Orkut.com มีการเปิดเผยรายละเอียดของเว็บไซต์นี้ว่า จุดประสงค์หลักของบริการจาก Orkut.com คือการช่วยให้คุณและเพื่อนๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันด้วยความสะดวกสบายมากขึ้นผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์นี้จะเปิดโอกาสให้เหล่าเพื่อนฝูงมาพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน
      
การเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของ Orkut.com จะต้องได้รับเชิญจากคนที่เป็นสมาชิกอยู่ก่อนเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้มีสมาชิกนับพันกว่าคนแล้ว สมาชิกส่วนใหญ่เป็นพนักงานของกูเกิลแทบทั้งนั้น หน้าตาอินเตอร์เฟสของ Orkut.com นี้มีลักษณะคล้ายกับเว็บไซต์ social networking ทั่วๆไปอย่างเช่น Friendster, Tribe.net เว็บไซต์กระชับมิตรเหล่านี้เป็นที่จับตามองอย่างมากในปีที่ผ่านมา
      
แม้ว่าจะยังไม่มีใครสามารถทำกำไรมหาศาลจากเว็บไซต์ประเภทนี้ แต่โมเดลของ social-networking ก็เป็นที่จับตามองของบรรดานักลงทุนและผู้สร้างเว็บไซต์ทั้งหลาย ล่าสุดสำนักงานใหญ่ของกูเกิลที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นที่ตั้งในการสร้าง Orkut.com นั้นออกมาบอกว่า กูเกิลกำลังสร้างจุดเด่นให้เหนือกว่าบรรดาเว็บไซต์ที่อยู่ในตลาดชุมชนออนไลน์ด้วยการพยายามรวบรวมข้อมูลต่างๆให้ครบถ้วน ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่แล้วจากที่เห็นใน Blogger.com พัฒนาโดยกลุ่ม Pyra Labs
     
กลยุทธ์โปรเจคส่วนตัว
      
ชื่อเรียก Orkut นั้นมาจากชื่อผู้สร้างคือ Orkut Buyukkokten (ออกัต บายุกอกเท็น) ซึ่งเป็นวิศวกรของกูเกิลที่สนใจเรื่องของชุมชนออนไลน์ กูเกิลสนับสนุนการสร้าง Orkut.com ด้วยการให้วิศวกรสามารถใช้เวลาหนึ่งวันต่อสัปดาห์เพื่อทำโปรเจคส่วนตัวของแต่ละคนในเวลางาน Eileen Rodriguez (ไอลีน โรดริกูเอซ์) ประชาสัมพันธ์ของกูเกิลกล่าวอีกด้วยว่า หากโปรเจคไหนน่าสนใจก็จะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ โดยการทดลองออนไลน์จริงเพื่อดูผลตอบรับจากบรรดานักท่องเน็ต
      
โปรเจคส่วนตัวแแบบนี้ ทำให้เกิดบริการใหม่ๆที่เป็นประโบชน์เพิ่มขึ้นอีกมากมาย อย่างเช่น บริการ 2 บริการในเครือของกูเกิลที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ กูเกิล นิวส์ (Google News) และ ฟลอกเกอร์ (Froogle) ทั้ง 2 บริการนี้เป็นบริการเบต้าเวอร์ชั่น คำว่าเบต้าเวอร์ชั่นนั้น คือการอยู่ในระหว่างการทดลองใช้ โดยกูเกิล นิวส์นั้นเป็นเว็บไซต์บริการข่าวจากกูเกิล ส่วนฟลอกเกอร์ เป็นเว็บไซต์ช่วยเสิร์จสินค้าในแคตตาล็อก
      
Rodriguez กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าทางกูเกิลเปิดโอกาสให้กับวิศวกรของกูเกิล ด้วยการพยายามสนับสนุนให้พวกเขาใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องของลิขสิทธิ์นั้น อย่างเช่นในกรณี Orkut.com ตราบใดที่มีการพัฒนาเว็บไซต์ในเวลางานของกูเกิล กูเกิลก็จะยังเป็นเจ้าของลิขสิทธ์อยู่ แต่ว่าจะไม่ได้บรรจุอยู่ในรายการพอร์ตฟอริโอ ที่เก็บผลงานผลิตภัณฑ์ของกูเกิลอย่างเป็นทางการ
      
ภายใน Orkut.com มีการใช้คำว่า"ในเครือกูเกิล"อยู่ด้านล่างของเว็บ แม้ว่า Orkut.com นั้นจะไม่ได้ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่เกี่ยวข้องกับกูเกิลเลยก็ตาม นั่นหมายความว่า Orkut.com จัดทำขึ้นโดยบายุกอกเท็นและทีมงานของเขาเท่านั้น นี่เป็นอีกก้าวหนึ่งของกูเกิลที่น่าจับตามองว่า ต่อไปจะมีบริการใหม่อะไรเกิดขึ้นในเครือของกูเกิลอีกหรือไม่

Bebo  (www.bebo.com)
Bebo เป็นเครือข่ายทางสังคมแห่งยุคอนาคตที่ทำให้นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยสามารถติดต่อกับเพื่อน หาเพื่อนที่ขาดการติดต่อกันไปนาน และพบปะกับผู้คนใหม่ๆ หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค.ปีที่แล้ว ในเวลาแค่ 7 เดือน เครือข่ายทางสังคมแห่งนี้ก็มีสมาชิกจดทะเบียนมากกว่า 22 ล้านรายที่เข้ามาดูหน้าเว็บเพจถึงกว่า 700 ครั้งต่อเดือน Bebo เป็นบริษัทเอกชนที่บริหารงานโดยทีมบริหารที่มีประสบการณ์ในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทได้เปิดตัวเว็บไซท์เครือ ข่ายสังคมลำดับแรกๆคือ Ringo.com ซึ่งต่อมาเขาได้ขายเว็บดังกล่าวให้แก่ Tickle (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Monster ในปัจจุบัน) และล่าสุด อดีตประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจจาก Friendster ได้เข้ามาร่วมงานกับ Bebo นอกจากนี้ ทีมงานของ Bebo.com ยังเปิดเว็บไซท์อีกเว็บที่ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบปากต่อปาก (word of mouth) นั่นคือ BirthdayAlarm.com ซึ่งมีสมาชิก 40 ล้านคน

Bebo เป็น Social Network ที่ถูกออกแบบมาดี โทนสีของเว็บไซต์ดูแล้วสบายตา ใช้งานง่าย มีการจัดระบบติดต่อผู้ใช้ได้ดี คนที่ไม่มีพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้แบบไม่ติดขัด รูปร่างหน้าตาของบล็อกดูไม่รกหูรกตา รองรับการปรับแต่งได้หลากหลาย

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 สุดยอดที่หมายของหนุ่มโสด


กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์


กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์




       ขึ้นชื่อว่าหนุ่มโสดแล้ว แน่นอนว่าความเป็นอิสระ ความสนุกสนาน และการตามหาสาวในฝัน ถือเป็นสิ่งที่หนุ่มโสดทั้งหลายต้องการอย่างมากที่สุด วันนี้กระปุกดอทคอมขออาสาพาหนุ่มโสดทุกท่านไปเที่ยวยังจุดหมายสำคัญ ๆ ของโลกที่น่าเดินทางไปเยี่ยมชม และไปน่าสัมผัสด้วยตัวคุณเอง ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้น มาดูกัน

1. กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์

       เมืองหลวงของฟินแลนด์แห่งนี้อุดมไปด้วยวัฒนธรรมมากมาย เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา มีแต่คนวัยหนุ่มสาวที่แสวงหาการศึกษา การจ้างงาน และการผจญภัยต่าง ๆ มากมาย ที่สำคัญยังมีสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองแห่งสถาปัตยกรรม" สำหรับปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) ที่สำคัญกรุงเฮลซิงกินี้ ยังเป็นเมืองที่มีผู้หญิงเยอะที่สุดในประเทศอีกด้วย


มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

2. มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

       มหานครสำคัญของโลกซึ่งไม่เคยหลับใหล และเป็นเมืองที่ผสมผสานคนจากหลากหลายเผ่าพันธุ์และเชื้อชาติ มีทั้งสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์ และหอศิลปะให้เลือกชมมากมาย แถมยังมีวัฒนธรรมผสมในแบบฉบับของตัวเอง เแถมผู้หญิงที่นี่ ยังเป็นผู้หญิงที่มีลักษณะประเภทคบหาดูใจกับใครแบบไม่ผูกมัดอีกต่างหาก

กรุงโรม ประเทศอิตาลี


กรุงโรม ประเทศอิตาลี

3. กรุงโรม ประเทศอิตาลี

       ดินแดนอมตะแห่งนี้ เป็นดินแดนที่มีการผสมผสานระหว่างเมืองแห่งศาสนากับเมืองแห่งความทันสมัยเข้าด้วยกัน เป็นสัญลักษณ์ของทั้งความวุ่นวาย ความโหดร้าย และความยิ่งใหญ่ มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมากมาย ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความอลังการ ด้วยเหตุนี้กรุงโรมจึงเป็นสถานที่ที่มีผู้หญิงมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก

เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา

เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา


4. เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา

       ดินแดนที่ผู้คนนิยมใช้ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาที่มีความไพเราะ ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกว่าเป็นเมืองที่มีการวางผังเมืองและออกแบบดีที่สุดเมืองหนึ่งของโลก เป็นเมืองที่มีคุณภาพในการใช้ชีวิตที่ดี และมีผู้หญิงอาศัยอยู่เยอะ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีตึกสูงเสียดฟ้า ที่เมื่อมองลงมาก็จะเห็น "เมาท์ โรยัล ปาร์ค" ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่ออกแบบโดยบุคคลคนเดียวกันกับที่ออกแบบ "เซ็นทรัล ปาร์ค" ในมหานครนิวยอร์ค

เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย

เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย

5. เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย

       เป็นเมืองหลวงเล็ก ๆ ของประเทศเอสโตเนีย แต่เป็นสถานที่ที่น่าภาคภูมิใจของชาวพื้นเมือง ได้รับขนานนามว่าเป็น "เมืองแห่งวัฒนธรรมของยุโรปประจำปี 2011 (พ.ศ. 2554)" และแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กที่มีประชากรไม่ถึงห้าแสนคน แต่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกอยู่หลายแห่ง แถมยังเป็นเมืองดิจิตอลแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย สาว ๆ วัยรุ่นจึงชอบมาอาศัยอยู่ที่นี่กันอย่างมากมาย

ชายหาดไมอามี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ชายหาดไมอามี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

6. ชายหาดไมอามี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

       ขึ้นชื่อว่าเป็นที่หมายของหนุ่มโสดแล้ว ก็จะขาดชายหาดไมอามี่แห่งนี้ไปไม่ได้เลย ที่นี่อากาศดีและผู้คนจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กันตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม แต่สถานที่แห่งนี้ก็มีเสน่ห์ในตัวเอง และหากเปรียบไมอามี่เป็นผู้หญิง ก็คงเป็นผู้หญิงที่ร้อนแรง ซึ่งพร้อมที่จะกระโจนใส่คุณได้ทุกเวลา


 กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน


7. กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

       ที่นี่เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในแถบประเทศสแกนดิเนเวีย เป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศ เป็นเมืองสีเขียวที่เน้นการประหยัดพลังงาน และยังมีระบบการศึกษาที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญสาวสวีเดนที่มีรูปร่างดีก็มักที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่กันทั้งนั้น

 กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย

กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย 

8. กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย 

        เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศรัสเซีย และมีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก ตามรายงานของนิตยสารชื่อดังอย่าง "ฟอร์บส์" อีกทั้งยังมีมรดกทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงก้องโลก ผสมผสานระหว่างความมั่งคั่งและสังคมที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ซึ่งเป็นที่ดึงดูดผู้คนที่ชื่นชอบในการแสวงหาและเสี่ยงโชคทั้งหลายให้ย้ายไปอยู่ที่กรุงมอสโก


 เกาะฮ่องกง

 เกาะฮ่องกง

9. เกาะฮ่องกง

       เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมาก มีตึกระฟ้าและการประดับแสงไฟตามอาคารที่สวยงามในยามราตรี เป็นเมืองที่ผสมผสานกลมกลืนระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน ผู้คนที่นี่ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงจะทำงานกันอย่างเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อหมดเวลางานก็นิยมสังสรรค์กันอย่างสุดเหวี่ยงเช่นกัน

กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

10. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

       เมืองหลวงของประเทศไทยเรา เป็นเมืองแห่งโลกตะวันออกที่เปิดรับโลกตะวันตกอย่างมากมาย และเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของจราจรที่ติดขัดจนทำให้การจราจรในมหานครนิวยอร์คดูดีขึ้นมาในทันใด แต่ทว่า เมืองหลวงของบ้านเรากลับเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก นั่นเพราะมีความมีชีวิตชีวาของเมืองที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก เรียกได้ว่าเที่ยวกรุงเทพฯ ไม่มีผิดหวังแน่นอน ที่สำคัญสาวไทยเรายังสวยและน่ารักมากอีกด้วย

       


10 สุดยอดบ่อน้ำพุร้อน ในแดนอาทิตย์อุทัย


บ่อน้ำพุร้อน


          หากจะให้นึกถึงสิ่งที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ "ประเทศญี่ปุ่น" แล้วล่ะก็ มีหลายอย่างมากมายให้พูดถึงกัน และหนึ่งในนั้นจะต้องมี "บ่อน้ำพุร้อน" (Hot Springs) อยู่ด้วยแน่ ๆ เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงจะพาทุกท่าน ไปเที่ยวชมกับ 10 สุดยอดบ่อน้ำพุร้อนของประเทศญี่ปุ่น ที่ทางเว็บไซต์ "บีบีซี"  ได้ทำการรวบรวมเอาไว้ ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้น ตามมาเลย

1. บ่อน้ำพุร้อน ริมแม่น้ำทาคารากาว่า (Takaragawa Onsen)

          ชาวญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้การแช่น้ำพุร้อน ขนานนามแหล่งน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดของประเทศ โดยคำว่า "ทาคารากาว่า" หมายถึง "แม่น้ำแห่งขุมสมบัติ" และด้วยความหลากหลายของพื้นหิน ที่ทอดขนานฝั่งแม่น้ำยาวกว่า 100 เมตร อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำ ที่จะช่วยรักษาความเหนื่อยล้า ความผิดปกติต่าง ๆ ทางระบบประสาทและระบบการย่อยอาหาร จึงทำให้ชื่อของ บ่อน้ำพุร้อนริมแม่น้ำทาคารากาว่า เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาด

2. บ่อน้ำพุร้อน เมืองอาซาบุ จูบัง (Azabu-Juban Onsen)

          อาซาบุ จูบัง เป็นที่แช่น้ำพุร้อนที่ยอดเยี่ยม คุณจะรู้สึกสบายเมื่อได้มาแช่น้ำที่นี่ น้ำที่นี่อุดมไปด้วยแร่ธาตุจากพื้นดินที่ลึกกว่า 500 เมตร แต่ที่น่าแปลกใจคือ อาซาบุ จูบัง ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายของผู้คน แถมยังมีบรรยากาศของโรงอาบน้ำที่สุดคลาสสิค รวมทั้งมี "โรเทนบุโระ" หรือบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งขนาดเล็ก แยกไว้สำหรับชายและหญิงให้บริการด้วย ปิดท้ายกับเทศกาลดนตรีในห้องน้ำชาทาทามิ ที่จัดขึ้นทุกสุดสัปดาห์

3. บ่อน้ำพุร้อนบนเกาะจินาตะ (Jinata Onsen)

          น้ำพุร้อนบน เกาะจินาตะ ตั้งอยู่ท่ามกลางหินภูเขามากมาย บริเวณชายฝั่งทะเลชิกิเนะ จิมะ โดย เกาะจินาตะ  เป็นเกาะที่ใช้เวลาเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ จากกรุงโตเกียวเพียงไม่กี่ชั่วโมง อีกทั้งคุณยังสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของธรรมชาติ พร้อมสัมผัสกับเสียงของเกลียวคลื่นที่ซัดกระทบกับก้อนหิน นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 บ่อน้ำพุร้อนบนเกาะ ให้ได้ไปแช่ตัวอีกต่างหาก

4. บ่อน้ำพุร้อนที่เมืองคิโนซากิ (Onsen Town Kinosaki)

          ที่นี่มีโรงอาบน้ำสาธารณะถึง 7 โรง และมีบ่อน้ำพุร้อนแบบ "เรียวคัง" หรือบ่อน้ำพุร้อนสไตล์ญี่ปุ่นอีกจำนวนมาก คุณสามารถผ่อนคลายและปล่อยตัวให้ไปตามสายน้ำ ขณะเดียวกัน เมื่อเสร็จจากแช่น้ำร้อนเรียวคังนี้แล้ว คุณยังสามารถสวมชุดยูกาตะและใส่รองเท้าเกี๊ยะ เพื่อไปอาบน้ำต่อที่โรงอาบน้ำสาธารณะได้ อีกทั้งในยามราตรีก็มีบรรยากาศที่สุดแสนจะงดงาม ที่สำคัญอย่าลืมแวะชิมปูยักษ์ และเพลิดเพลินไปกับความงดงามของทัศนียภาพสองข้างทางด้วยนะ

บ่อน้ำพุร้อน
5. บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง ซาวาดะ โคเอ็น (Sawada-koen Rotemburo Onsen)

          ถ้าคุณชื่นชอบที่จะชมทัศนียภาพของธรรมชาติ ในขณะที่คุณกำลังแช่น้ำร้อนล่ะก็ บ่อน้ำพุร้อน ซาวาดะ โคเอ็น เหมาะกับคุณแล้ว เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง ซึ่งจะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับวิวของทะเลแปซิฟิค นอกจากนั้นแล้ว ที่นี่ยังเหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย

6. บ่อน้ำพุร้อน แลมป์ โน ยาโดะ (Onsen Lamp no Yado)

          บ่อน้ำพุร้อน แลมป์ โน ยาโดะ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรโนโตะ ฮันโตะ การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างที่จะลำบากซะหน่อย อาจจะมีการปีนและเดินบ้าง แต่ก็ไม่ต้องแปลกใจแต่อย่างใด เพราะที่นี่เคยเป็นหลุมหลบภัยสงครามเก่า แม้ว่าการเดินทางจะลำบากไปบ้าง แต่ที่นี่ก็ยังได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก บางรายถึงกับใช้เวลาหลายอาทิตย์ เพื่ออยู่ที่นี่กันเลยทีเดียว

7. บ่อน้ำพุร้อน อูรามิ กา ทากิ (Urami-ga-taki Onsen)

          บ่อน้ำพุร้อน อูรามิ กา ทากิ เป็นอีกหนึ่งบ่อน้ำพุร้อนที่มีความสวยงาม มีส่วนที่เป็นกลางแจ้งติดกับน้ำตกในป่ากึ่งโซนร้อน มีรีสอร์ทสไตล์บาหลี  สามารถแช่น้ำไปพร้อมแสงแดดยามบ่ายที่ส่องผ่านต้นเฟิร์น ซึ่งเป็นประสบการณ์แสนมหัศจรรย์ที่น่าสัมผัสอย่างยิ่ง

8. บ่อน้ำพุร้อน ชิราฮามะ (Onsen/Beach Combination Shirahama)

          เสน่ห์ในการผสมผสานระหว่างทะเลและบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้บ่อน้ำพุร้อน “ชิราฮามะ” ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองชายหาด ทางตอนใต้ของเมืองคันไซ สามารถดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาสัมผัส รวมถึงบรรยากาศความงดงามของทัศนียภาพรอบ ๆ เมือง อีกทั้งยังมีบ่อน้ำพุร้อนที่เปิดให้บริการฟรีบริเวณหาด และบ่อน้ำพุร้อนซากิโนะ ยูที่น่าประทับใจอีกด้วย

บ่อน้ำพุร้อน

9. โรงอาบน้ำร้อนสาธารณะ ทาเกะงะวาระ (Takegawara Onsen)

          ที่นี่เป็นโรงอาบน้ำเก่าแก่ เปิดให้บริการมาตั้งแต่สมัยเมจิ ปี 1859 เป็นโรงอาบน้ำในสไตล์ที่เรียบง่ายตามแบบฉบับของญี่ปุ่น มีกลิ่นไม้หอมที่ช่วยในการผ่อนคลาย มีห้องอาบน้ำแยกชายหญิง นอกจากนี้ โรงอาบน้ำร้อนสาธารณะ ทาเกะงะวาระ ยังมีบริการ “อบทรายร้อน” โดยผู้ใช้บริการจะใส่ชุดยูกาตะลงไปนอนในหลุม แล้วกลบด้วยทรายร้อนนาน 10-15 นาที จากนั้นก็ไปแช่ตัวต่อในบ่อน้ำร้อน

10. บ่อน้ำพุร้อน ทากามะ กา ฮาระ (Takama-ga-hara Onsen)

          บ่อน้ำพุร้อน ทากามะ กา ฮาระ เป็นโรงอาบน้ำกลางแจ้ง ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น เป็นสถานที่ที่มีเขตป่าสงวนและเทือกเขาตลอดทั้งสองข้างทาง แต่หากคุณต้องการเดินทางมาที่นี่ ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน ด้วยการเดิน! ชาวญี่ปุ่นบางคนถึงกับกล่าวว่า ที่นี่คือโรงอาบน้ำแบบกลางแจ้งที่สูงที่สุดในประเทศ อีกทั้งคุณยังนอนค้างคืนได้ในบริเวณใกล้ ๆ กับกระท่อมเล็ก ๆ บนเขา

5 ทะเลสาบ ที่สวยที่สุดในจีน


Qinghai Lake

ทะเลสาบชิงไห่ Qinghai Lake

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ประเทศจีน ถือเป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์ชวนหลงใหล และน่าไปสัมผัสอีกประเทศหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาปัตยกรรม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่อีกสิ่งหนึ่งที่มีสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ไม่แพ้กันก็คือ "ทะเลสาบ" เพราะมีความสวยงามทางธรรมชาติที่เชื่อว่านักเดินทางหลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขออาสาพาทุกท่าน ไปเที่ยวชม 5 ทะเลสาบที่สวยที่สุดในประเทศจีนกัน จะมีที่ไหนบ้างนั้น ตามมาดูกันเลย

1. ทะเลสาบชิงไห่ (Qinghai Lake)

          ที่นี่ถือเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงทิเบต ในช่วงหน้าร้อนและฤดูใบไม้ผลิ พื้นที่โดยรอบจะปกคลุมไปด้วยพืชใบเขียวสวยงาม ขณะที่ในฤดูหนาว ก็จะมีเกล็ดหิมะเล็ก ๆ ปกคลุมกระจายไปทั่ว ซึ่งถือได้ว่า ทะเลสาบชิงไห่ มีทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปแบบฤดูต่อฤดูเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 จุดชมวิวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นั่นก็คือ Haixinshan ซึ่งอุดมไปด้วยแนวชายฝั่งที่เป็นโขดหิน และ Niaodao หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "เกาะนก" เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีนกบินอพยพย้ายถิ่นฐานกว่า 100,000 ตัวอยู่เป็นประจำ

          สำหรับการเดินทางไปยัง ทะเลสาบชิงไห่ สามารถเดินทางไปได้ทุกช่วงของปี แต่ที่อยากจะแนะนำเป็นพิเศษก็คือช่วงฤดูร้อน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ดอกไม้บางชนิด ซึ่งหาชมได้ยากจะเบ่งบานเป็นพิเศษ อีกทั้งในช่วงที่มีนกบินอพยพมา ก็เป็นช่วงเวลาหนึ่ง ที่น่าเดินทางไปชื่นชมความงามของฝูงนก

          สนนราคาสำหรับค่าเข้าชมตกท่านละ 230 หยวน* หรือประมาณ 1,150 บาท ต่อ 3 คืน ซึ่งคุณสามารถเดินทางได้ด้วยการโดยสารรถบัส ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง และมีค่ารถอีก 20 หยวน จากนั้นก็จ้างรถมินิบัสเพื่อเดินทางไปยัง Niaodao อีก 50 กิโลเมตร และมีค่าใช้จ่ายอีก 50 หยวน

Kanas Lake

ทะเลสาบคานาส Kanas Lake

2. ทะเลสาบคานาส (Kanas Lake)

          ในป่าลึกของเทือกเขาอัลไต มี ทะเลสาบคานาส หรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า "คานาซือ" ซึ่งเป็นทะเลสาบภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนซ่อนอยู่ สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัส กับความงดงามของทะเลสาบแห่งนี้คือ น้ำของทะเลสาบ ซึ่งสามารถเปลี่ยนสีได้ตามมุมตกกระทบของแสงแดด และตามฤดูกาลต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีฝูงหงษ์ให้ได้ไปชื่นชมอีกด้วย หากคุณต้องการที่จะสัมผัสกับธรรมชาติแบบใกล้ชิดแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้คุณตื่นเช้า ๆ สูดอากาศหายใจลึก ๆ แล้วนั่งชื่นชมเก็บบรรยากาศของหมอกยาวเช้า ที่ปกคลุมทั่วทั้งทะเลสาบ สาย ๆ หน่อยก็ไปล่องเรือสัมผัสกับวิถีชีวิตของคนพื้นเมือง และธรรมชาติของทะเลสาบก็เข้าท่าอยู่ไม่น้อย

          ที่สำคัญเลยเราขอเตือนสักนิดสำหรับท่านที่สนใจจะไป เนื่องจากที่นี่สภาพอากาศไม่แน่นอน อาจจะมีฝนตกบ้าง ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น ก็ควรที่จะพกเสื้อกันฝนติดตัวไปด้วยจะเป็นการดีที่สุด ขณะที่ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทางไปเยี่ยมชมที่สุด คือ ช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมและกลางเดือนกันยายน

          สนนราคาสำหรับค่าเข้าชมในช่วงไฮซีซั่น จะอยู่ที่ท่านละ 150 หยวน* หรือประมาณ 750 บาท ส่วนในช่วงโลว์ซีซั่น จะอยู่ที่ท่านละ 80 หยวน* หรือประมาณ 400 บาท ด้านการเดินทาง มีสองเส้นทางให้ได้เลือกกันทั้งนั่งรถบัสจาก Urumqi Beijiao ไปยัง Buerjin ใช้เวลาในการเดินทาง 10 ชั่วโมงและมีค่าใช้จ่าย 50 - 94 หยวน กับอีกหนึ่งเส้นทางที่จะเรียกได้ว่าเป็นทางลัดที่สุดเลยก็ว่าได้ คือเดินทางมุ่งหน้ามายัง Buerjin ด้วยการชมทิวทัศน์ของสองฝั่งทะเลสาบ ซึ่งจะใช้เวลา 4 ชั่วโมง เร็วกว่ากันเยอะเลย

Changbaishan Heavenly Lake

ทะเลสาบสวรรค์ฉางไป๋ซา Changbaishan Heavenly Lake

3. ทะเลสาบสวรรค์ฉางไป๋ซา (Changbaishan Heavenly Lake)

          ทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาฉางไป๋ซา เป็นหนึ่งในสถานที่อันน่าหลงใหลที่สุดแห่งหนึ่ง ในภาคเหนือของประเทศจีน ซึ่งเกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ที่ครั้งหนึ่งพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นปล่องภูเขาไฟมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกสูงกว่า 60 เมตร ไหลลงบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 42 องศาเซลเซียส ขณะที่ในฤดูหนาวน้ำพุดังกล่าวก็จะแข็งตัวกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง เกิดความสวยงามตามแบบธรรมชาติอีกแบบหนึ่ง

          ช่วงเดือนที่เหมาะแก่การเดินทางมา ณ ทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้คือเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน หากคุณเดินทางมาในฤดูใบไม้ร่วง ก็ขอให้คุณระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะจะมีหมอกลงหนาจัด และอาจจะทำให้มองไม่เห็นวิวทิวทัศน์อะไรเลย

          สนนราคาสำหรับค่าเข้าชมอยู่ที่ท่านละ 100 หยวน* หรือประมาณ 500 บาท และมีค่ารถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวอีก 68 หยวน* หรือประมาณ 340 บาท ในส่วนของการเดินทางเราขอแนะนำให้ใช้รถไฟขบวน "N188" จากสถานี Baihe และต่อรถเพื่อนขึ้นเขาฉางไป๋ชา โดยมีค่ารถประมาณ 20 หยวน* หรือประมาณ 100 บาท

Lugu Lake

ทะเลสาบหลู่กู๋ Lugu Lake

4. ทะเลสาบหลู่กู๋ (Lugu Lake)

          ทะเลสาบหลู่กู๋ ถือเป็นอัญมณีที่สุดแสนจะล้ำค่าของประเทศจีน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมลฑลยูนนาน ในแต่ละปีจะมีสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างคงที่ ไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก ในช่วงฤดูหนาวก็จะมีฝูงเป็ดและฝูงนกนางนวล อพยพย้ายถิ่นมาเป็นจำนวนมาก ขณะที่ในช่วงเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายนจะเป็นช่วงเวลาต้นไม้ ใบหน้าต่าง ๆ ผลิดอกออกผล ดูมีชีวิตชีวาเป็นที่สุด

          อีกสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาเยือนที่นี่ คือคุณต้องไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของ ชาวโมโซ (Mosu people) เพราะชาวบ้านที่นี่มีประเพณีที่สืบทอดกันมานาน ด้วยการให้ผู้หญิงทำหน้าที่เสมือนผู้ชาย เป็นผู้นำของครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีสถานที่อื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น ช่องเขาหลู่กู๋ ช่องเขาที่มีชื่อเสียงด้านความงามของน้ำตก เป็นต้น

          สนนราคาสำหรับค่าเข้าชมอยู่ที่ท่านละ 78 หยวน* หรือประมาณ 390 บาท ในส่วนของการเดินทางให้เริ่มจากทางรถไฟก่อนอันดับแรก โดยขึ้นจากสถานี Chengdu ไปยังสถานี Xichang มีค่าโดยสารประมาณ 145 หยวน* หรือประมาณ 725 บาท จากนั้นนั่งรถบัสตรงยาวมายังทะเลสาบหลู่กู๋นี้ได้โดยตรง รถจะออกเวลา 8.40 น. และ 9.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีค่าโดยสารประมาณ 71 หยวน* หรือประมาณ 355 บาท ใช้เวลาเดินทั้งสิ้น 7-8 ชั่วโมง

Namtso Lake

ทะเลสาบนามูโช่ Namtso Lake
5. ทะเลสาบนามูโช่ (Namtso Lake)

          ทะเลสาบนามูโช่ ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนทิเบต ระหว่างมณฑล Damxung และ Bange เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่อยู่สูงที่สุดในโลก ทุก ๆ ฤดูร้อนของที่นี่ พื้นที่ตรงนี้จะเต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น วัวป่าขนยาว แพะภูเขา กระต่ายป่า และสัตว์ป่าอื่น ๆ รวมไปถึงนกชนิดต่าง ๆ อีกมากมาย บางวันก็จะมีปลากระโดดขึ้นมาเหนือน้ำให้เห็น หรือได้ยินเสียงเพลงจากคนในหมู่บ้านระแวกนั้นอีกด้วย

          ด้วยความที่อยู่สูง ทำให้น้ำแข็งที่เกิดจากกาารตกของหิมะ แตกตัวกระจัดกระจาย เกิดเป็นความงามตามธรรมชาติขึ้นมา ที่สำคัญด้วยความสูงดังกล่าว ทำให้คนส่วนใหญ่ปรับตัวกับสภาพอากาศไม่ได้ จึงเกิดอาการป่วยกันอยู่บ่อย ๆ ดังนั้น ควรทานยาแก้ปวดหรือยานอนหลับก่อนนอน ก็จะช่วยได้มากเลยทีเดียว

          สวนราคาสำหรับค่าเข้าชมอยู่ที่ท่านละ 45 หยวน* หรือประมาณ 225 บาท ไม่มีระบบขนส่งสาธารณะใด ๆ ที่มีเส้นทางมายังที่นี่โดยตรง คุณต้องเช่ารถพร้อมคนขับรถมาด้วย โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 หยวนสำหรับการเดินทางแบบไปกลับ 2 วัน