หน้าเว็บ



วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 สุดยอดที่หมายของหนุ่มโสด


กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์


กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์




       ขึ้นชื่อว่าหนุ่มโสดแล้ว แน่นอนว่าความเป็นอิสระ ความสนุกสนาน และการตามหาสาวในฝัน ถือเป็นสิ่งที่หนุ่มโสดทั้งหลายต้องการอย่างมากที่สุด วันนี้กระปุกดอทคอมขออาสาพาหนุ่มโสดทุกท่านไปเที่ยวยังจุดหมายสำคัญ ๆ ของโลกที่น่าเดินทางไปเยี่ยมชม และไปน่าสัมผัสด้วยตัวคุณเอง ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้น มาดูกัน

1. กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์

       เมืองหลวงของฟินแลนด์แห่งนี้อุดมไปด้วยวัฒนธรรมมากมาย เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา มีแต่คนวัยหนุ่มสาวที่แสวงหาการศึกษา การจ้างงาน และการผจญภัยต่าง ๆ มากมาย ที่สำคัญยังมีสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองแห่งสถาปัตยกรรม" สำหรับปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) ที่สำคัญกรุงเฮลซิงกินี้ ยังเป็นเมืองที่มีผู้หญิงเยอะที่สุดในประเทศอีกด้วย


มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

2. มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

       มหานครสำคัญของโลกซึ่งไม่เคยหลับใหล และเป็นเมืองที่ผสมผสานคนจากหลากหลายเผ่าพันธุ์และเชื้อชาติ มีทั้งสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์ และหอศิลปะให้เลือกชมมากมาย แถมยังมีวัฒนธรรมผสมในแบบฉบับของตัวเอง เแถมผู้หญิงที่นี่ ยังเป็นผู้หญิงที่มีลักษณะประเภทคบหาดูใจกับใครแบบไม่ผูกมัดอีกต่างหาก

กรุงโรม ประเทศอิตาลี


กรุงโรม ประเทศอิตาลี

3. กรุงโรม ประเทศอิตาลี

       ดินแดนอมตะแห่งนี้ เป็นดินแดนที่มีการผสมผสานระหว่างเมืองแห่งศาสนากับเมืองแห่งความทันสมัยเข้าด้วยกัน เป็นสัญลักษณ์ของทั้งความวุ่นวาย ความโหดร้าย และความยิ่งใหญ่ มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมากมาย ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความอลังการ ด้วยเหตุนี้กรุงโรมจึงเป็นสถานที่ที่มีผู้หญิงมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก

เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา

เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา


4. เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา

       ดินแดนที่ผู้คนนิยมใช้ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาที่มีความไพเราะ ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกว่าเป็นเมืองที่มีการวางผังเมืองและออกแบบดีที่สุดเมืองหนึ่งของโลก เป็นเมืองที่มีคุณภาพในการใช้ชีวิตที่ดี และมีผู้หญิงอาศัยอยู่เยอะ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีตึกสูงเสียดฟ้า ที่เมื่อมองลงมาก็จะเห็น "เมาท์ โรยัล ปาร์ค" ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่ออกแบบโดยบุคคลคนเดียวกันกับที่ออกแบบ "เซ็นทรัล ปาร์ค" ในมหานครนิวยอร์ค

เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย

เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย

5. เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย

       เป็นเมืองหลวงเล็ก ๆ ของประเทศเอสโตเนีย แต่เป็นสถานที่ที่น่าภาคภูมิใจของชาวพื้นเมือง ได้รับขนานนามว่าเป็น "เมืองแห่งวัฒนธรรมของยุโรปประจำปี 2011 (พ.ศ. 2554)" และแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กที่มีประชากรไม่ถึงห้าแสนคน แต่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกอยู่หลายแห่ง แถมยังเป็นเมืองดิจิตอลแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย สาว ๆ วัยรุ่นจึงชอบมาอาศัยอยู่ที่นี่กันอย่างมากมาย

ชายหาดไมอามี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ชายหาดไมอามี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

6. ชายหาดไมอามี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

       ขึ้นชื่อว่าเป็นที่หมายของหนุ่มโสดแล้ว ก็จะขาดชายหาดไมอามี่แห่งนี้ไปไม่ได้เลย ที่นี่อากาศดีและผู้คนจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กันตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม แต่สถานที่แห่งนี้ก็มีเสน่ห์ในตัวเอง และหากเปรียบไมอามี่เป็นผู้หญิง ก็คงเป็นผู้หญิงที่ร้อนแรง ซึ่งพร้อมที่จะกระโจนใส่คุณได้ทุกเวลา


 กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน


7. กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

       ที่นี่เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในแถบประเทศสแกนดิเนเวีย เป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศ เป็นเมืองสีเขียวที่เน้นการประหยัดพลังงาน และยังมีระบบการศึกษาที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญสาวสวีเดนที่มีรูปร่างดีก็มักที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่กันทั้งนั้น

 กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย

กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย 

8. กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย 

        เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศรัสเซีย และมีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก ตามรายงานของนิตยสารชื่อดังอย่าง "ฟอร์บส์" อีกทั้งยังมีมรดกทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงก้องโลก ผสมผสานระหว่างความมั่งคั่งและสังคมที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ซึ่งเป็นที่ดึงดูดผู้คนที่ชื่นชอบในการแสวงหาและเสี่ยงโชคทั้งหลายให้ย้ายไปอยู่ที่กรุงมอสโก


 เกาะฮ่องกง

 เกาะฮ่องกง

9. เกาะฮ่องกง

       เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมาก มีตึกระฟ้าและการประดับแสงไฟตามอาคารที่สวยงามในยามราตรี เป็นเมืองที่ผสมผสานกลมกลืนระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน ผู้คนที่นี่ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงจะทำงานกันอย่างเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อหมดเวลางานก็นิยมสังสรรค์กันอย่างสุดเหวี่ยงเช่นกัน

กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

10. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

       เมืองหลวงของประเทศไทยเรา เป็นเมืองแห่งโลกตะวันออกที่เปิดรับโลกตะวันตกอย่างมากมาย และเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของจราจรที่ติดขัดจนทำให้การจราจรในมหานครนิวยอร์คดูดีขึ้นมาในทันใด แต่ทว่า เมืองหลวงของบ้านเรากลับเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก นั่นเพราะมีความมีชีวิตชีวาของเมืองที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก เรียกได้ว่าเที่ยวกรุงเทพฯ ไม่มีผิดหวังแน่นอน ที่สำคัญสาวไทยเรายังสวยและน่ารักมากอีกด้วย

       


10 สุดยอดบ่อน้ำพุร้อน ในแดนอาทิตย์อุทัย


บ่อน้ำพุร้อน


          หากจะให้นึกถึงสิ่งที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ "ประเทศญี่ปุ่น" แล้วล่ะก็ มีหลายอย่างมากมายให้พูดถึงกัน และหนึ่งในนั้นจะต้องมี "บ่อน้ำพุร้อน" (Hot Springs) อยู่ด้วยแน่ ๆ เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงจะพาทุกท่าน ไปเที่ยวชมกับ 10 สุดยอดบ่อน้ำพุร้อนของประเทศญี่ปุ่น ที่ทางเว็บไซต์ "บีบีซี"  ได้ทำการรวบรวมเอาไว้ ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้น ตามมาเลย

1. บ่อน้ำพุร้อน ริมแม่น้ำทาคารากาว่า (Takaragawa Onsen)

          ชาวญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้การแช่น้ำพุร้อน ขนานนามแหล่งน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดของประเทศ โดยคำว่า "ทาคารากาว่า" หมายถึง "แม่น้ำแห่งขุมสมบัติ" และด้วยความหลากหลายของพื้นหิน ที่ทอดขนานฝั่งแม่น้ำยาวกว่า 100 เมตร อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำ ที่จะช่วยรักษาความเหนื่อยล้า ความผิดปกติต่าง ๆ ทางระบบประสาทและระบบการย่อยอาหาร จึงทำให้ชื่อของ บ่อน้ำพุร้อนริมแม่น้ำทาคารากาว่า เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาด

2. บ่อน้ำพุร้อน เมืองอาซาบุ จูบัง (Azabu-Juban Onsen)

          อาซาบุ จูบัง เป็นที่แช่น้ำพุร้อนที่ยอดเยี่ยม คุณจะรู้สึกสบายเมื่อได้มาแช่น้ำที่นี่ น้ำที่นี่อุดมไปด้วยแร่ธาตุจากพื้นดินที่ลึกกว่า 500 เมตร แต่ที่น่าแปลกใจคือ อาซาบุ จูบัง ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายของผู้คน แถมยังมีบรรยากาศของโรงอาบน้ำที่สุดคลาสสิค รวมทั้งมี "โรเทนบุโระ" หรือบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งขนาดเล็ก แยกไว้สำหรับชายและหญิงให้บริการด้วย ปิดท้ายกับเทศกาลดนตรีในห้องน้ำชาทาทามิ ที่จัดขึ้นทุกสุดสัปดาห์

3. บ่อน้ำพุร้อนบนเกาะจินาตะ (Jinata Onsen)

          น้ำพุร้อนบน เกาะจินาตะ ตั้งอยู่ท่ามกลางหินภูเขามากมาย บริเวณชายฝั่งทะเลชิกิเนะ จิมะ โดย เกาะจินาตะ  เป็นเกาะที่ใช้เวลาเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ จากกรุงโตเกียวเพียงไม่กี่ชั่วโมง อีกทั้งคุณยังสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของธรรมชาติ พร้อมสัมผัสกับเสียงของเกลียวคลื่นที่ซัดกระทบกับก้อนหิน นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 บ่อน้ำพุร้อนบนเกาะ ให้ได้ไปแช่ตัวอีกต่างหาก

4. บ่อน้ำพุร้อนที่เมืองคิโนซากิ (Onsen Town Kinosaki)

          ที่นี่มีโรงอาบน้ำสาธารณะถึง 7 โรง และมีบ่อน้ำพุร้อนแบบ "เรียวคัง" หรือบ่อน้ำพุร้อนสไตล์ญี่ปุ่นอีกจำนวนมาก คุณสามารถผ่อนคลายและปล่อยตัวให้ไปตามสายน้ำ ขณะเดียวกัน เมื่อเสร็จจากแช่น้ำร้อนเรียวคังนี้แล้ว คุณยังสามารถสวมชุดยูกาตะและใส่รองเท้าเกี๊ยะ เพื่อไปอาบน้ำต่อที่โรงอาบน้ำสาธารณะได้ อีกทั้งในยามราตรีก็มีบรรยากาศที่สุดแสนจะงดงาม ที่สำคัญอย่าลืมแวะชิมปูยักษ์ และเพลิดเพลินไปกับความงดงามของทัศนียภาพสองข้างทางด้วยนะ

บ่อน้ำพุร้อน
5. บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง ซาวาดะ โคเอ็น (Sawada-koen Rotemburo Onsen)

          ถ้าคุณชื่นชอบที่จะชมทัศนียภาพของธรรมชาติ ในขณะที่คุณกำลังแช่น้ำร้อนล่ะก็ บ่อน้ำพุร้อน ซาวาดะ โคเอ็น เหมาะกับคุณแล้ว เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง ซึ่งจะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับวิวของทะเลแปซิฟิค นอกจากนั้นแล้ว ที่นี่ยังเหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย

6. บ่อน้ำพุร้อน แลมป์ โน ยาโดะ (Onsen Lamp no Yado)

          บ่อน้ำพุร้อน แลมป์ โน ยาโดะ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรโนโตะ ฮันโตะ การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างที่จะลำบากซะหน่อย อาจจะมีการปีนและเดินบ้าง แต่ก็ไม่ต้องแปลกใจแต่อย่างใด เพราะที่นี่เคยเป็นหลุมหลบภัยสงครามเก่า แม้ว่าการเดินทางจะลำบากไปบ้าง แต่ที่นี่ก็ยังได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก บางรายถึงกับใช้เวลาหลายอาทิตย์ เพื่ออยู่ที่นี่กันเลยทีเดียว

7. บ่อน้ำพุร้อน อูรามิ กา ทากิ (Urami-ga-taki Onsen)

          บ่อน้ำพุร้อน อูรามิ กา ทากิ เป็นอีกหนึ่งบ่อน้ำพุร้อนที่มีความสวยงาม มีส่วนที่เป็นกลางแจ้งติดกับน้ำตกในป่ากึ่งโซนร้อน มีรีสอร์ทสไตล์บาหลี  สามารถแช่น้ำไปพร้อมแสงแดดยามบ่ายที่ส่องผ่านต้นเฟิร์น ซึ่งเป็นประสบการณ์แสนมหัศจรรย์ที่น่าสัมผัสอย่างยิ่ง

8. บ่อน้ำพุร้อน ชิราฮามะ (Onsen/Beach Combination Shirahama)

          เสน่ห์ในการผสมผสานระหว่างทะเลและบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้บ่อน้ำพุร้อน “ชิราฮามะ” ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองชายหาด ทางตอนใต้ของเมืองคันไซ สามารถดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาสัมผัส รวมถึงบรรยากาศความงดงามของทัศนียภาพรอบ ๆ เมือง อีกทั้งยังมีบ่อน้ำพุร้อนที่เปิดให้บริการฟรีบริเวณหาด และบ่อน้ำพุร้อนซากิโนะ ยูที่น่าประทับใจอีกด้วย

บ่อน้ำพุร้อน

9. โรงอาบน้ำร้อนสาธารณะ ทาเกะงะวาระ (Takegawara Onsen)

          ที่นี่เป็นโรงอาบน้ำเก่าแก่ เปิดให้บริการมาตั้งแต่สมัยเมจิ ปี 1859 เป็นโรงอาบน้ำในสไตล์ที่เรียบง่ายตามแบบฉบับของญี่ปุ่น มีกลิ่นไม้หอมที่ช่วยในการผ่อนคลาย มีห้องอาบน้ำแยกชายหญิง นอกจากนี้ โรงอาบน้ำร้อนสาธารณะ ทาเกะงะวาระ ยังมีบริการ “อบทรายร้อน” โดยผู้ใช้บริการจะใส่ชุดยูกาตะลงไปนอนในหลุม แล้วกลบด้วยทรายร้อนนาน 10-15 นาที จากนั้นก็ไปแช่ตัวต่อในบ่อน้ำร้อน

10. บ่อน้ำพุร้อน ทากามะ กา ฮาระ (Takama-ga-hara Onsen)

          บ่อน้ำพุร้อน ทากามะ กา ฮาระ เป็นโรงอาบน้ำกลางแจ้ง ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น เป็นสถานที่ที่มีเขตป่าสงวนและเทือกเขาตลอดทั้งสองข้างทาง แต่หากคุณต้องการเดินทางมาที่นี่ ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน ด้วยการเดิน! ชาวญี่ปุ่นบางคนถึงกับกล่าวว่า ที่นี่คือโรงอาบน้ำแบบกลางแจ้งที่สูงที่สุดในประเทศ อีกทั้งคุณยังนอนค้างคืนได้ในบริเวณใกล้ ๆ กับกระท่อมเล็ก ๆ บนเขา

5 ทะเลสาบ ที่สวยที่สุดในจีน


Qinghai Lake

ทะเลสาบชิงไห่ Qinghai Lake

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ประเทศจีน ถือเป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์ชวนหลงใหล และน่าไปสัมผัสอีกประเทศหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาปัตยกรรม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่อีกสิ่งหนึ่งที่มีสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ไม่แพ้กันก็คือ "ทะเลสาบ" เพราะมีความสวยงามทางธรรมชาติที่เชื่อว่านักเดินทางหลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขออาสาพาทุกท่าน ไปเที่ยวชม 5 ทะเลสาบที่สวยที่สุดในประเทศจีนกัน จะมีที่ไหนบ้างนั้น ตามมาดูกันเลย

1. ทะเลสาบชิงไห่ (Qinghai Lake)

          ที่นี่ถือเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงทิเบต ในช่วงหน้าร้อนและฤดูใบไม้ผลิ พื้นที่โดยรอบจะปกคลุมไปด้วยพืชใบเขียวสวยงาม ขณะที่ในฤดูหนาว ก็จะมีเกล็ดหิมะเล็ก ๆ ปกคลุมกระจายไปทั่ว ซึ่งถือได้ว่า ทะเลสาบชิงไห่ มีทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปแบบฤดูต่อฤดูเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 จุดชมวิวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นั่นก็คือ Haixinshan ซึ่งอุดมไปด้วยแนวชายฝั่งที่เป็นโขดหิน และ Niaodao หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "เกาะนก" เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีนกบินอพยพย้ายถิ่นฐานกว่า 100,000 ตัวอยู่เป็นประจำ

          สำหรับการเดินทางไปยัง ทะเลสาบชิงไห่ สามารถเดินทางไปได้ทุกช่วงของปี แต่ที่อยากจะแนะนำเป็นพิเศษก็คือช่วงฤดูร้อน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ดอกไม้บางชนิด ซึ่งหาชมได้ยากจะเบ่งบานเป็นพิเศษ อีกทั้งในช่วงที่มีนกบินอพยพมา ก็เป็นช่วงเวลาหนึ่ง ที่น่าเดินทางไปชื่นชมความงามของฝูงนก

          สนนราคาสำหรับค่าเข้าชมตกท่านละ 230 หยวน* หรือประมาณ 1,150 บาท ต่อ 3 คืน ซึ่งคุณสามารถเดินทางได้ด้วยการโดยสารรถบัส ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง และมีค่ารถอีก 20 หยวน จากนั้นก็จ้างรถมินิบัสเพื่อเดินทางไปยัง Niaodao อีก 50 กิโลเมตร และมีค่าใช้จ่ายอีก 50 หยวน

Kanas Lake

ทะเลสาบคานาส Kanas Lake

2. ทะเลสาบคานาส (Kanas Lake)

          ในป่าลึกของเทือกเขาอัลไต มี ทะเลสาบคานาส หรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า "คานาซือ" ซึ่งเป็นทะเลสาบภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนซ่อนอยู่ สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัส กับความงดงามของทะเลสาบแห่งนี้คือ น้ำของทะเลสาบ ซึ่งสามารถเปลี่ยนสีได้ตามมุมตกกระทบของแสงแดด และตามฤดูกาลต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีฝูงหงษ์ให้ได้ไปชื่นชมอีกด้วย หากคุณต้องการที่จะสัมผัสกับธรรมชาติแบบใกล้ชิดแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้คุณตื่นเช้า ๆ สูดอากาศหายใจลึก ๆ แล้วนั่งชื่นชมเก็บบรรยากาศของหมอกยาวเช้า ที่ปกคลุมทั่วทั้งทะเลสาบ สาย ๆ หน่อยก็ไปล่องเรือสัมผัสกับวิถีชีวิตของคนพื้นเมือง และธรรมชาติของทะเลสาบก็เข้าท่าอยู่ไม่น้อย

          ที่สำคัญเลยเราขอเตือนสักนิดสำหรับท่านที่สนใจจะไป เนื่องจากที่นี่สภาพอากาศไม่แน่นอน อาจจะมีฝนตกบ้าง ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น ก็ควรที่จะพกเสื้อกันฝนติดตัวไปด้วยจะเป็นการดีที่สุด ขณะที่ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเดินทางไปเยี่ยมชมที่สุด คือ ช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมและกลางเดือนกันยายน

          สนนราคาสำหรับค่าเข้าชมในช่วงไฮซีซั่น จะอยู่ที่ท่านละ 150 หยวน* หรือประมาณ 750 บาท ส่วนในช่วงโลว์ซีซั่น จะอยู่ที่ท่านละ 80 หยวน* หรือประมาณ 400 บาท ด้านการเดินทาง มีสองเส้นทางให้ได้เลือกกันทั้งนั่งรถบัสจาก Urumqi Beijiao ไปยัง Buerjin ใช้เวลาในการเดินทาง 10 ชั่วโมงและมีค่าใช้จ่าย 50 - 94 หยวน กับอีกหนึ่งเส้นทางที่จะเรียกได้ว่าเป็นทางลัดที่สุดเลยก็ว่าได้ คือเดินทางมุ่งหน้ามายัง Buerjin ด้วยการชมทิวทัศน์ของสองฝั่งทะเลสาบ ซึ่งจะใช้เวลา 4 ชั่วโมง เร็วกว่ากันเยอะเลย

Changbaishan Heavenly Lake

ทะเลสาบสวรรค์ฉางไป๋ซา Changbaishan Heavenly Lake

3. ทะเลสาบสวรรค์ฉางไป๋ซา (Changbaishan Heavenly Lake)

          ทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาฉางไป๋ซา เป็นหนึ่งในสถานที่อันน่าหลงใหลที่สุดแห่งหนึ่ง ในภาคเหนือของประเทศจีน ซึ่งเกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ที่ครั้งหนึ่งพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นปล่องภูเขาไฟมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกสูงกว่า 60 เมตร ไหลลงบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 42 องศาเซลเซียส ขณะที่ในฤดูหนาวน้ำพุดังกล่าวก็จะแข็งตัวกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง เกิดความสวยงามตามแบบธรรมชาติอีกแบบหนึ่ง

          ช่วงเดือนที่เหมาะแก่การเดินทางมา ณ ทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้คือเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน หากคุณเดินทางมาในฤดูใบไม้ร่วง ก็ขอให้คุณระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะจะมีหมอกลงหนาจัด และอาจจะทำให้มองไม่เห็นวิวทิวทัศน์อะไรเลย

          สนนราคาสำหรับค่าเข้าชมอยู่ที่ท่านละ 100 หยวน* หรือประมาณ 500 บาท และมีค่ารถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวอีก 68 หยวน* หรือประมาณ 340 บาท ในส่วนของการเดินทางเราขอแนะนำให้ใช้รถไฟขบวน "N188" จากสถานี Baihe และต่อรถเพื่อนขึ้นเขาฉางไป๋ชา โดยมีค่ารถประมาณ 20 หยวน* หรือประมาณ 100 บาท

Lugu Lake

ทะเลสาบหลู่กู๋ Lugu Lake

4. ทะเลสาบหลู่กู๋ (Lugu Lake)

          ทะเลสาบหลู่กู๋ ถือเป็นอัญมณีที่สุดแสนจะล้ำค่าของประเทศจีน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมลฑลยูนนาน ในแต่ละปีจะมีสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างคงที่ ไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก ในช่วงฤดูหนาวก็จะมีฝูงเป็ดและฝูงนกนางนวล อพยพย้ายถิ่นมาเป็นจำนวนมาก ขณะที่ในช่วงเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายนจะเป็นช่วงเวลาต้นไม้ ใบหน้าต่าง ๆ ผลิดอกออกผล ดูมีชีวิตชีวาเป็นที่สุด

          อีกสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาเยือนที่นี่ คือคุณต้องไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของ ชาวโมโซ (Mosu people) เพราะชาวบ้านที่นี่มีประเพณีที่สืบทอดกันมานาน ด้วยการให้ผู้หญิงทำหน้าที่เสมือนผู้ชาย เป็นผู้นำของครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีสถานที่อื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น ช่องเขาหลู่กู๋ ช่องเขาที่มีชื่อเสียงด้านความงามของน้ำตก เป็นต้น

          สนนราคาสำหรับค่าเข้าชมอยู่ที่ท่านละ 78 หยวน* หรือประมาณ 390 บาท ในส่วนของการเดินทางให้เริ่มจากทางรถไฟก่อนอันดับแรก โดยขึ้นจากสถานี Chengdu ไปยังสถานี Xichang มีค่าโดยสารประมาณ 145 หยวน* หรือประมาณ 725 บาท จากนั้นนั่งรถบัสตรงยาวมายังทะเลสาบหลู่กู๋นี้ได้โดยตรง รถจะออกเวลา 8.40 น. และ 9.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีค่าโดยสารประมาณ 71 หยวน* หรือประมาณ 355 บาท ใช้เวลาเดินทั้งสิ้น 7-8 ชั่วโมง

Namtso Lake

ทะเลสาบนามูโช่ Namtso Lake
5. ทะเลสาบนามูโช่ (Namtso Lake)

          ทะเลสาบนามูโช่ ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนทิเบต ระหว่างมณฑล Damxung และ Bange เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่อยู่สูงที่สุดในโลก ทุก ๆ ฤดูร้อนของที่นี่ พื้นที่ตรงนี้จะเต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น วัวป่าขนยาว แพะภูเขา กระต่ายป่า และสัตว์ป่าอื่น ๆ รวมไปถึงนกชนิดต่าง ๆ อีกมากมาย บางวันก็จะมีปลากระโดดขึ้นมาเหนือน้ำให้เห็น หรือได้ยินเสียงเพลงจากคนในหมู่บ้านระแวกนั้นอีกด้วย

          ด้วยความที่อยู่สูง ทำให้น้ำแข็งที่เกิดจากกาารตกของหิมะ แตกตัวกระจัดกระจาย เกิดเป็นความงามตามธรรมชาติขึ้นมา ที่สำคัญด้วยความสูงดังกล่าว ทำให้คนส่วนใหญ่ปรับตัวกับสภาพอากาศไม่ได้ จึงเกิดอาการป่วยกันอยู่บ่อย ๆ ดังนั้น ควรทานยาแก้ปวดหรือยานอนหลับก่อนนอน ก็จะช่วยได้มากเลยทีเดียว

          สวนราคาสำหรับค่าเข้าชมอยู่ที่ท่านละ 45 หยวน* หรือประมาณ 225 บาท ไม่มีระบบขนส่งสาธารณะใด ๆ ที่มีเส้นทางมายังที่นี่โดยตรง คุณต้องเช่ารถพร้อมคนขับรถมาด้วย โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 หยวนสำหรับการเดินทางแบบไปกลับ 2 วัน

10 จุดหมายปลายทาง สุดฮิตในเอเชีย


Lhasa

เมืองลาซา ประเทศทิเบต



          ในทวีปเอเชียของเรามีสถานที่มากมาย ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ให้ได้ไปเยี่ยมชมและสัมผัสกับความงดงาม ทั้งทางด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งด้วยเหตุนี้ ทางเว็บไซต์เอเชียวันดอทคอม จึงได้ทำการรวบรวม 10 จุดหมายปลายทางสุดฮิต ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปกันมากที่สุด เอาไว้เพื่อให้ทุก ๆ ท่านได้เก็บเป็นข้อมูลในการเดินทาง จะมีที่ใดบ้างนั้น ตามมาดูกันเลย

1. เมืองลาซา ประเทศทิเบต (Lhasa, Tibet)

          เมืองลาซา ตั้งอยู่บนที่ราบสูงในแถบหุบเขาของเทือกเขาหิมาลัย มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นนิยมมากที่สุดคือ พระราชวังโปตาลา (Potala Palace) พระราชวังซึ่งเคยเป็นที่ประทับขององค์ดาไลลามะองค์ก่อน ทัวร์ชมภายในพระราชวังกันแล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะชมความงดงามของทัศนียภาพตลอด 2 ข้างทาง ในระหว่างการเดินทางมาที่นี่อีกด้วย และอีกสถานที่หนึ่งที่มีความงดงามน่ามาเที่ยวไม่แพ้กันคือ วัดโจคัง (Jokhang Temple) โดยวัดแห่งนี้ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็น "เมืองมรดกโลก" เพราะมีประวัติศาสตร์และความน่าหลงใหลมากมาย ให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกได้เดินทางมาเยี่ยมชมกัน

กรุงเทพ

กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

2. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

          กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยเรานั้น ถือเป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ต่างต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นด้านความงดงามของสถาปัตยกรรม ประเพณี แหล่งช็อปปิ้งที่ราคาสบายกระเป๋า และความบันเทิงในยามราตรี ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่อย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงรอยยิ้มของคนไทย เหล่านี้ถือเป็นเสน่ห์ ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ต้องไปสัมผัสกับความงดงามอันวิจิตรตระการตาให้ได้ก็คือ วัดอรุณราชวราราม หรือที่เรียกกันว่า "วัดแจ้ง" นั่นเอง

กาฐมาณฑุ

กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล

3. เมืองกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล (Kathmandu, Nepal)

          ที่เมืองแห่งนี้มี จัตุรัส ดูร์บาร์ (Durbar Square) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก และเป็นอดีตพระราชวังเดิมอีกด้วย มีสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามทั้งวัดและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ มากมาย ที่สำคัญเมื่อเดินทางมาที่นี่แล้ว คุณต้องไม่พลาดที่จะตั้งแคมป์พักแรมที่ยอดเขา มัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) สถานที่ที่สามารถสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิด

เมืองเลห์

เลห์ ประเทศอินเดีย

4. เมืองเลห์ ประเทศอินเดีย (Leh, India)

          เมืองเลห์ เป็นเมืองศูนย์กลางของการท่องเที่ยวของ ลาดัคห์ (Ladakh) เมืองเล็ก ๆ ที่งดงามไปด้วยสิ่งปลูกสร้างจากหิน "Whitewash" ตั้งอยู่ที่สี่แยกประวัติศาสตร์อย่าง "Silk Route" นอกจากนี้ ยังมี หุบเขานูบรา (Nubra Valley) สถานที่ซึ่งมีความงามตามธรรมชาติ ทั้งฟาร์มขนาดเล็ก และมีเกสต์เฮ้าส์ไว้พร้อมให้บริการอีกด้วย

สิงคโปร์

ประเทศสิงคโปร์

5. ประเทศสิงคโปร์ (Singapore)

          หากมาสิงคโปร์แล้วไม่ได้แวะที่ Marina Bay ถือว่ายังเดินทางมาไม่ถึงสิงคโปร์อย่างแท้จริง เพราะที่นี่ถือเป็นที่หมายสำคัญที่ต้องแวะมาเยี่ยมชม จับจ่ายซื้อของให้ได้ นอกจากนั้นแล้วยังมีสิ่งใหม่ ๆ อย่าง โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) พิพิธภัณฑ์ศิลปะวิทยาศาสตร์ (ArtScience Museum) สะพานเฮลิกซ์ (The Helix Bridge) ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ (The Singapore Flyer) และ โรงแรม ฟูลเลอร์ตัน เบย์ (Fullerton Bay) ที่คอยดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ยังมีส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามใ นการเยี่ยมชมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นย่านไชน่าทาวน์ หรือ ลิตเติ้ล อินเดีย สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความงดงามทางวัฒนธรรม

หลวงพระบาง

หลวงพระบาง ประเทศลาว

6. เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว (Luang Prabang, Laos)

          เมืองหลวงพระบาง ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศลาว ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือการนั่งเรือจากปากอู (Pak OU) ชมทัศนียภาพของทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง นอกจากนั้นแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่เราอยากแนะนำให้ทำ ก็คือการใส่บาตรกับพระสงฆ์และสามเณรในตอนเช้า ช่วงเวลาประมาณ 05.30 น. เพราะนอกจากจะได้บุญได้กุศลกันแล้ว คุณยังได้สัมผัสกับบรรยากาศยามเช้าที่แสนจะสดชื่นอีกด้วย

เกาะพีพี

เกาะพีพี ประเทศไทย

7. เกาะพีพี ประเทศไทย

          เกาะพีพี อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลอ่าวนพรัตนธารา จ.กระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามัน ด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ มีน้ำทะเลสะอาด สวยใส หาดทรายขาวละเอียด ที่สำคัญยังเป็นสถานที่ซึ่งใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "The Beach" อีกด้วย แถมยังมีกิจกรรมทางน้ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำลึก การดำน้ำตื้น และการชมความงามของถ้ำต่าง ๆ อีกมากมาย

เสียมเรียบ

เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

8. เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา (Siem Reap, Cambodia)

          ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็ต่างอยากไปชื่นชมกับความสวยงามและอลังการของ "นครวัด" (Ankor Wat) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา รวมถึงเก็บภาพบรรรยากาศยามพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า ๆ ที่งดงามจับใจ อีกทั้งเมืองเสียมเรียบถือเป็นเมือง ที่มีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในด้านของสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมใหม่ ๆ ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี จึงทำให้สะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

เสียมเรียบ

เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

9. กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น (Kyoto, Japan)

          เมืองที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทั้งวัดวาอารามและศาลเจ้าต่าง ๆ แถมยังเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวเมือง ในฐานะที่เคยเป็นอดีตเมืองหลวงของประเทศอีกด้วย โดยสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยคือ การที่ได้เห็นสาว ๆ ชาวญี่ปุ่นอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม ด้วยการสวมใส่ชุดกิโมโน ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น เดินตามท้องถนนกันอย่างสง่างามน่ายกย่อง

ฮ่องกง

เกาะฮ่องกง

10. เกาะฮ่องกง ประเทศจีน (Hong Kong, China)

          เมืองที่มีความวุ่นวายสูงเมืองหนึ่งของโลกแห่งนี้ ถือเป็นเมืองสำคัญที่อุดมไปด้วยร้านค้าต่าง ๆ มากมาย ทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า กระเป๋า ฯลฯ แถมยังมีตลาดกลางคืนเอาใจขาช้อปกันอย่างเต็มที่ แต่ที่พลาดไม่ได้เลยก็คืออาหารสไตล์ฮ่องกง โดยเฉพาะ "Kong Chai Meen" หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบฉบับฮ่องกง ซึ่งมีขายทั่วไปตามร้านข้างทาง ถือเป็นเมนูที่ควรจะหาทานอย่างยิ่ง รวมไปถึงลูกชิ้นปลา เต้าหู้ทอด และเค้กอร่อย ๆ ก็ไม่ควรที่จะพลาดเช่นเดียวกัน

5 จุดหมายปลายทาง เที่ยวสไตล์ซาฟารี


Africa

5 Safari’s Destinations (i Do)
          นักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัย การท่องซาฟารีในแอฟริกาคงเป็นหนึ่งในความฝันสูงสุดของการเดินทาง แต่ปัจจุบันนี้มิได้มีเพียงแอฟริกาเท่านั้น ที่มอบประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบซาฟารี เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ในโลก ที่มีความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ และยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอันอุดม 

Africa

1. Africa…The Big 5

          เมื่อเอ่ยถึง The Big 5 หรือ 5 ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งแอฟริกานั่นหมายถึง สิงโต ช้างแอฟริกัน เสือดาว ควายป่า และแรด เหล่าสัตว์ที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับการล่าด้วยการเดินเท้า นักท่องซาฟารียุคใหม่ไม่ได้สนใจจะติดอาวุธอะไรเพื่อการไปไล่ล่า นอกจากกล้องตัวโปรดกับเลนส์ระยะไกล สัตว์เหล่านี้ยังคงเป็นที่นิยมสำหรับนักผจญภัย ความสำเร็จของการเดินทางท่องซาฟารี วัดได้จากจำนวนครั้งที่บรรดา 5 ผู้ยิ่งใหญ่ปรากฎตัวให้เห็น

          ป่าสงวนแห่งชาติ มาไซ มารา ในเคนยา และอุทยานแห่งชาติเซเรนเกติ ในแทนซาเนีย เป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดในการได้ชมเหล่าสัตว์ป่าแห่งแอฟริกา พื้นที่ราบกว้างใหญ่แห่งนี้ เป็นฉากการอพยพย้ายถิ่นประจำปีของบรรดาวัวป่านับล้านตัว เช่นเดียวกับม้าลายและกวาง สัตว์เหล่านี้บางครั้งตกเป็นเหยื่อของเจ้าแมวยักษ์ และสัตว์นักล่าอื่น ๆ อย่างไฮยีนาและเสือชีต้า ส่วนในน้ำนั้นมีจระเข้คอยท่าอยู่

          อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ในแอฟริกาใต้ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย เป็นหนึ่งในสนามล่าที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา เป็นบ้านที่มีสายพันธุ์ของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม มากกว่าป่าสงวนใด ๆ ในทวีปนี้ นอกจากช้างกว่าพันเชือก และ 5 ผู้ใหญ่แล้ว นักเดินทางยังจะได้สำรวจชีวิตสัตว์ป่า อย่างสุนัขป่าแอฟริกันที่ดุร้าย เสือชีต้า ฮิปโป ยีราฟ และม้าลาย

          การเดินทาง : จากสนามบินไนโรบีเดินทางต่อไปยังสนามบินคิลิมันจาโร หรือสนามบินอารูชา และเดินทางโดยรถต่ออีก 8 ชั่วโมง หรือจะเลือกเดินทางด้วยเครื่องบินขนาดเล็กไปยังลานบินคิราวิรา ในเซเรนเกติ

Borneo

2. เกาะ Borneo – ทักทายเจ้าอุรังอุตัง

          การเดินทางมาเที่ยวในบอร์เนียวคงไม่สมบูรณ์ หากยังไม่ได้พบสัตว์สายพันธุ์พื้นเมืองที่มีชื่อเสียงอย่าง อุรังอุตัง ซึ่งสามารถพบได้บนเกาะ และศูนย์ฟื้นฟูอุรังอุตังในซาบาห์ ซึ่งเป็นที่ที่มีการเพาะพันธุ์มากที่สุด ศูนย์เพาะพันธุ์แห่งนี้มีพื้นที่ 4,300 เฮกตาร์ อยู่ในป่าดิบชื้น ผู้มาเยี่ยมชมสามารถเดินสำรวจอุรังอุตังได้จากบนทางเดินที่ยกระดับ หรือปั่นจักรยานบนระยะทาง 5 กิโลเมตร ผ่านป่าชายเลนในป่าสงวนเซปิล็อก

          อีกจุดหนึ่งของบอร์เนียว คือ ภูเขาคีนาบาลู (Mount Kinabalu) มรดกโลกแห่งนี้เป็นที่อาศัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 100 ชนิด และพืชกว่า 4,500 สายพันธุ์ เป็นสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งกับการท่องซาฟารี การเดินทางไปยังยอดเขาคีนาบาลู สามารถเดินทางด้วยเท้าถึงในเวลา 2 วัน วิวพระอาทิตย์ขึ้นจากบนยอดเขานั้น งดงามจนแทบลืมหายใจทีเดียว สัตว์ท้องถิ่นที่นี่ ได้แก่ กวาง เสือดาว อุรังอุตัง นาก และวีเซิล อีกทั้งผีเสื้อหลายสายพันธุ์ และนกจำนวนมากที่สร้างสีสันให้กับป่าดิบชื้นแห่งนี้

          การเดินทาง : บินสู่สนามบินกัวลาลัมเปอร์และต่อเครื่องบินไปยังโกตากินะบะลู สามารถเลือกโปรแกรมทัวร์ และการเดินทางไปยังซาบาห์ได้ในเมือง

India

3. India – Tiger’s trail

          สำหรับอินเดียถือได้ว่าเป็นบ้านของสัตว์อย่างเสือ ยังรวมไปถึงช้างอินเดีย สิงโตอินเดีย แรดอินเดีย หมี และเสือดาวสายพันธุ์ย่อย ๆ จำนวนมาก เกินพอที่จะทำให้นักท่องซาฟารีจดจ่ออยู่กับการเล็งกล้อง

          อุทยานแห่งชาติและสถานเพาะพันธุ์สัตว์ป่ากีร์ เป็นสถานที่สุดยอดแห่งการท่องซาฟารีในอินเดีย ที่จะได้พบกับ เสืออินเดีย ที่ยังหลงเหลืออยู่แห่งเดียวในโลก เช่นเดียวกับเสือดาว ละมั่ง กวาง หมูป่า ไฮยีนา และจระเข้ รวมทั้งนกอีกกว่า 250 สายพันธุ์

          อุทยานแห่งชาติกัณหา อยู่ใจกลางประเทศอินเดีย เป็นที่สมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้ดอกและสัตว์นานาชนิด ป่าพฤกษศาสตร์ในอุทยานนี้ เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าอันตรายอีกมากมาย รวมไปถึงกวาง เสือเบงกอล และเสือดาวหลากหลายสายพันธุ์ สามารถตามรอยเข้าไปชมเสือได้โดยรถขับเคลื่อนสี่ล้อนำทาง หรือโดยการขี่ช้าง

          การเดินทาง : จากเมืองเดลีบินสู่อาเมดาบัด ระยะทาง 390 กิโลเมตร จากอุทยานแห่งชาติกีร์ หรือจากเมืองมุมไบไปยังเมืองดีอู ระยะทาง 110 กิโลเมตร จากอุทยานแห่งชาติกัณหาบินจากเมืองเดลีสู่เมืองนาคปุระ และเดินทางโดยรถต่อไปอีก 280 กิโลเมตร

Amazon

4. Amazon – ลุ่มน้ำและป่าดงดิบ

          ป่าดิบชื้นในลุ่มแม่น้ำอเมซอน อยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ ที่เป็นบ้านของพืชและสัตว์นานาชนิด การท่องซาฟารีสามารถทำได้ทั้งการเดินป่าและล่อเรือ ซึ่งรวมไปถึงการเยี่ยมชมศูนย์ค้นคว้าวิจัยต่าง ๆ การผจญภัยตามลุ่มแม่น้ำอเมซอนผ่านทางคลองขุด การปั่นจักรยานในป่าดิบชื้นที่รกทึบ และการพักแบบโฮมสเตย์กับชาวหมู่บ้านพื้นเมือง

          สัตว์ป่าที่จะพบได้ที่นี่คือ นกทูแคน นกมาคอร์ ปลาปิรันย่า สลอท ปลาโลมาสีชมพู ลิง โดยเฉพาะลิงดำ อะนาคอนดา เสือดำ และเสือจากัวร์ บริเวณทะเลสาบจูมาเป็นพื้นที่ที่ยังไม่พัฒนามากนัก นักเดินทางสามารถเลือกปั่นจักรยาน พบกับชาวพื้นเมือง พายเรือแคนู ตกปลา และชมดาวในยาวค่ำคืน

          ทะเลสาบมาโมริ เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงลำดับต้น ๆ ในการท่องซาฟารีของอเมซอน ด้วยระยะทาง 100 กิโลเมตร จากมาเนาส์ ผู้นำทัวร์จะนำเสนอการปั่นจักรยานผ่านป่าดงดิบ การชมจระเข้และปลาปิรันย่า การชมนก และการแลกเปลี่ยนทางฒนธรรมกับชาวหมู่บ้านพื้นเมือง

          การเดินทาง : บินสู่เมืองซานเปาโล หรือเมืองริโอ เดอ จาเนโร และบินภายในประเทศต่ออีก 4 ชั่วโมง ไปยังมาเนาส์ในเมืองริโอ เนโกร จากมาเนาส์สามารถท่องซาฟารีผ่านแม่น้ำอเมซอน กับผู้นำทัวร์ที่มีให้เลือกมากมาย

Uluru

5. ออสเตรเลีย – การผจญภัยสไตล์ลุย ๆ

          ด้วยขนาดของประเทศ การท่องซาฟารีในออสเตรเลียจึงอยู่ในพื้นที่เฉพาะเท่านั้น นักเดินทางจึงต้องตัดสินใจให้ดี ว่าอยากจะเดินทางไปสำรวจยังภูมิภาคใด และเป็นช่วงเวลาใดของปี

          Red Center หรือส่วนที่เป็นทะเลทรายใจกลางประเทศออสเตรเลีย คือที่ตั้งของ อูลูรู (Uluru) หินศักดิ์สิทธิ์ของชาวอะบอริจินิส อุทยานแห่งชาติที่อยู่รอบเสาหินขนาดมหึมานี้ เป็นที่อาศัยของจิงโจ้ขนาดเล็ก หมาป่า พอซซัม อีมู กิ้งก่ายักษ์ และจิ้งโจ้แดง พื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้งและมีพืชอยู่น้อย เวลาที่เหมาะสมกับการไปเที่ยวคือ ในช่วงเดือนที่มีอากาศเย็น ได้แก่ เดือนเมษายน พฤษภาคม กันยายน และตุลาคม

          อุทยานแห่งชาติคาคาดู พื้นที่ที่เต็มไปด้วยป่าดิบชื้น ป่าชายเลน แม่น้ำ และน้ำตก มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาศัยอยู่กว่า 60 สายพันธุ์ เช่น จิงโจ้ จิงโจ้ขนาดเล็ก หมีโคอาล่า และหมาป่า รวมถึงสัตว์อันตรายอีก 33 สายพันธุ์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางคือฤดูที่ไม่มีฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน โดยช่วงที่น้ำตกจะสวยที่สุดคือ ช่วงเดือนพฤษภาคม และช่วงที่จะพบเหล่าสัตว์ต่าง ๆ ได้มากที่สุดคือเดือนกันยายน แต่นักท่องเที่ยวต้องคอยระวังจระเข้เป็นพิเศษด้วย

          การเดินทาง : บินสู่เมืองดาร์วินที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติคาคาดู แล้วเดินทางโดยรถขับเคลื่อนสี่ล้อต่อไปอีก 171 กิโลเมตร สำหรับ "อูลูรู" นั้น สามารถจองเที่ยวบินได้ที่เมืองหลัก ๆ ของออสเตรเลีย ไปยังเมืองอลิซสปริงส์ ที่ซึ่งสามารถไปต่อรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากที่นั่น

10 เมืองสวย ที่เหมาะแก่การถ่ายภาพยามค่ำคืน

1. กรุงเทพมหานคร (Bangkok)

          เริ่มกันที่เมืองแรกก็ไม่ต้องมองไปไหนไกลทั้งนั้น เมืองหลวงของประเทศไทยเราอย่างกรุงเทพมหานครนี่เอง กรุงเทพฯ ของเราได้ชื่อว่า เป็นเมืองที่น่ามาท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความงดงาม ตระการตา การคมนาคมที่สะดวกสบาย แหล่งช็อปปิ้งราคาถูก ศิลปะและประเพณีต่าง ๆ รวมถึงมิตรภาพและรอยยิ้มของผู้คน นี่เองจึงเป็นเสน่ห์ที่มัดใจชาวต่างชาติรวมถึงคนไทยอย่างเรา ๆ ทุกคนให้ประทับใจ และชื่นชอบเมืองหลวงแห่งนี้กันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ริโอ เดอ จาเนโร

2. เมืองริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล (Rio de Janeiro, Brazil)

          เมืองริโอ เดอ จาเนโร แห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นที่รู้จักในด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะชายหาดโกปากาบานา (Copacabana) และอีปาเนมา (Ipanema) มีเทศกาลรื่นเริงประจำปีมากมาย นอกจากนี้ ยังสภาพบ้านเมืองที่สวยงามตามสไตล์ยุโรปแบบโปรตุเกส ไว้คอยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมากมาย ที่สำคัญเมืองนี้ยังได้รับเลือกจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ให้เป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมโอลิมปิก 2016 อีกด้วย

โตรอนโต้

3. เมืองโตรอนโต้ ประเทศแคนาดา (Toronto, Canada)

          เมืองโตรอนโต้เป็นหนึ่งในเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก รวมทั้งยังเป็นศูนย์รวมของผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ มีกิจกรรมมากมายให้ได้ร่วมสนุกกัน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมที่สวยงาม ชีวิตในยามค่ำคืน ย่านช้อปปิ้งสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำให้เมืองโตรอนโต้ กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกเมืองหนึ่งของโลก ซึ่งหากคนรักกล้องได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนที่นี่แล้วล่ะก็ จะต้องไม่พลาดที่จะรัวชัตเตอร์เก็บภาพความประทับใจต่าง ๆ กลับบ้านอย่างแน่นอน

ลาส เวกัส

4. เมืองลาส เวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา (Las Vegas, USA)

          นี่คือสถานที่ที่ชาวอเมริกันและคนทั่วโลกต่างนานนามกันว่าเป็น "เมืองแห่งบาป" (Sin City) เพราะเมืองทั้งเมืองขึ้นชื่อลือนามด้านกิจการการพนันที่ใหญ่โต รวมถึงอาคาร โรงแรม คาสิโนอีกมากมาย ที่พร้อมด้วยความอลังการงานสร้างชิดที่ว่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด และยังเต็มไปด้วยเสน่ห์และแสงสีต่าง ๆ มากมาย นี่เองจึงเป็นแรงดึงดูดหลักใ ห้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในเมืองแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย

ลอนดอน

5. กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (London, UK)

          กรุงลอนดอนจัดเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีความพร้อม ในศูนย์กลางสำคัญทางธุรกิจ การเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของโลก นอกจากนี้ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของทวีปยุโรป โดยเฉพาะสถานที่ชื่อก้องโลกทั้งหอนาฬิกาบิกเบน (Big Ben) ชิงช้าสวรรค์ลอนดอนอาย (London Eye) รถโดยสารประจำทาง รวมถึงยังเป็นแหล่งกำเนิดของยอดสายลับรหัส "007" ที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง "เจมส์ บอนด์" (James Bond) อีกด้วย

มอสโก

6. กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย (Moscow, Russia)

          อดีตสหภาพโซเวียตแห่งนี้ ถือเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ที่สำคัญในฤดูหนาว เมืองทั้งเมืองยังถูกปกคลุมไปด้วยหิมะซึ่งเมื่อถ่ายภาพออกมาแล้ว จะยิ่งทำให้ภาพของเมืองแห่งนี้มีความสวยงามแปลกตามากยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะที่มหาวิหารเซนต์บาซิล (St. Basil's Cathedral) อีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของกรุงมอสโกด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งมีความสวยงามและเหมาะแก่การถ่ายภาพไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในโลกนี้เลยล่ะ

ปารีส

7. กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส (Paris, France)

          กรุงปารีสเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ที่ล้ำสมัยแห่งหนึ่งของโลก มีอิทธิพลสำคัญ ๆ มากมายรวมอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การศึกษา ความบันเทิง สื่อหลากแขนง วงการแฟชั่น ความเจริญด้านวิทยาศาสตร์และความเฟื่องฟูของศิลปะ จึงทำให้กรุงปารีสเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่มีผู้คนมากมายอยากเดินทางมาที่นี่อย่างน้อย ๆ สักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยังดี และอีกสถานที่หนึ่งซึ่งขาดไม่ได้ หากไม่มาที่นี่แล้วล่ะก็ จะเหมือนว่ามาไม่ถึงประเทศฝรั่งเศสเลยทีเดียว ที่แห่งนั้นก็คือ หอไอเฟล (Eiffel Tower) นั่นเอง

โคเปนเฮเก้น

8. กรุงโคเปนเฮเก้น ประเทศเดนมาร์ก (Copenhagen, Denmark)

          เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักนางเงือก (Mermaid) กันดีอยู่แล้ว แต่รู้หรือเปล่าว่าตำนานนางเงือกนั้นถือกำเนิดขึ้นจากที่ไหน ถ้ายังนึกไม่ออกล่ะก็ เราขอเฉลยเลยว่า กรุงโคเปนเฮเก้นแห่งนี้ คือแหล่งกำเนิดของตำนานนางเงือกที่มาจากเทพนิยายของ "ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน" (Hans Christian Andersen) จนมีชื่อเสียงและเป็นขวัญใจของคุณหนู ๆ ไปทั่วโลก นอกจากนั้นแล้ว เมืองแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็น "สวรรค์แห่งเมืองท่า" อีกด้วย เพราะเมืองนี้เป็นเมืองท่าสำคัญของทวีปยุโรป แถมยังเงียบสงบและเป็นธรรมชาติอย่างมากอีกต่างหาก

โคโลญจน์

9. เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี (Cologne, Germany)

          นี่เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของประเทศเยอรมนี มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่าง มหาวิหารเคลิน์โดม (Kolner Dom) มหาวิหารที่ใหญ่โตอลังการที่สุดในทวีปยุโรป ซึ่งลักษณะพิเศษคือมียอดแหลมสองยอด และมีเพดานที่มีความสูงมากกว่ามหาวิหารที่อื่น ๆ นอกจากนั้นยังมีเทศกาลคานิวาล (Carnival craziness) ที่ขึ้นชื่อลือชา ซึ่งจะจัดกันในวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11 นาฬิกา 11 นาที และ 11 วินาที ของทุกปี มีการแสดงต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะวันแรกและวันสุดท้ายของงาน ที่ผู้คนจะสนุกสุดเหวี่ยงกันแบบไม่สนใจใครเลยด้วย

ซิดนีย์

10. เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย (Sydney, Australia)

          มาปิดท้ายด้วยอันดับที่ 10 อย่างเมืองซิดนีย์ เมืองท่าที่มีความสวยงามที่สุดเมืองหนึ่งของโลก มีโรงโอเปร่า (Opera House) ที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปไกลทั่วโลก รวมถึงชายหาดบอนได (Bondi Beach) ชายหาดชั้นยอดที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องอยู่ตลอดเวลาในหน้าร้อน ซึ่งอยู่ใกล้กับใจกลางเมืองมากที่สุด อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อน ไม่หนาวมากเกินไป แถมยังเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 2000 มาแล้วอีกด้วย